วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน 2568
20 พ.ย. 2568 11:26 | 84 view
@pracha
‘เอกนิติ’ เร่งเดินหน้าปลดล็อคอุปสรรค-สร้างกติกาเอื้อการแข่งขัน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดงานสัมมนาวิชาการประจําปี FTI Outlook 2026 ภายใต้หัวข้อ “DECODING THAILAND’S INDUSTRY FOR THE UPCOMING FUTURE ถอดรหัสอุตสาหกรรมไทย อ่านเกมอนาคต” เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึกและฉากทัศน์เศรษฐกิจ–อุตสาหกรรมไทย ปี 2569 โดยผู้ทรงคุณวุฒิ นักเศรษฐศาสตร์ และผู้นําภาคธุรกิจ ร่วมถอดรหัสปัจจัยเสี่ยงและโอกาส พร้อมแลกเปลี่ยนมุมมองต่อทิศทางเศรษฐกิจโลกและไทย รวมถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมรายสาขา เพื่อใช้เป็นข้อมูลสําคัญในการวางแผนธุรกิจ และเตรียมความพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ภายในงาน ได้รับเกียรติจาก ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Policy Vision for Thailand’s Economic Transformation นโยบายใหม่สู่การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย” โดยมีตัวแทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมงาน
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยวันนี้กําลังเผชิญจุดเปลี่ยนสําคัญ เรามีข้อจํากัดมากกว่าทุกยุคที่ผ่านมา ทั้งสังคมสูงวัย แรงงานขาดแคลน ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และคอขวดเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดสะท้อนชัดเจนว่าไทยไม่สามารถพึ่งการเติบโตแบบเดิมได้อีกต่อไป เราจึงต้องลงมืออย่างเร่งด่วน ทั้งเพื่อประคองเศรษฐกิจระยะสั้น และเพื่อปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวอย่างเป็นระบบ
รัฐบาลตัดสินใจทํามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะหน้าแต่ตรงจุด เพื่อพยุงกําลังซื้อและประคองเศรษฐกิจให้เดินต่อได้ หนึ่งในมาตรการที่สําคัญที่สุดคือ คนละครึ่งพลัส ซึ่งให้รัฐบาลร่วมจ่าย 50% เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายฐานราก ผลลัพธ์ในระยะสั้นนั้นชัดเจนมาก ปัจจุบัน มีร้านค้าเข้าร่วมกว่า 913,000 ราย เกิดการใช้จ่ายแล้วกว่า 33,898 ล้านบาท เม็ดเงินไหลเวียนลงสู่เศรษฐกิจระดับพื้นที่ทั่วประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุน ซึ่งสามารถเร่งเบิกจ่ายได้ถึง 12.7% สูงกว่าเป้าหมาย 8% อย่างมีนัยสําคัญ นั่นหมายความว่า รัฐได้ผลักเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่จําเป็นที่สุดอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้เวลาที่จํากัด ด้วยหลักการว่า “รัฐบาลมีเวลาเพียง 4 เดือน ซึ่งตอนนี้เหลือ 2 เดือน จึงเป็นข้อจํากัดให้ไม่สามารถทําทุกอย่างได้ หากมัวแต่คิดหาโมเดลใหม่คงไม่ทัน เลยต้อง Action เพื่อส่งสัญญาณให้เห็น” รัฐบาลจึงเดินสองทางคู่กัน คือ ประคองเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อรับมือสถานการณ์ และวางรากฐานระยะยาวเพื่อเปลี่ยนโมเดลเศรษฐกิจไทยให้ยั่งยืน โดยทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนวินัยการคลังและความโปร่งใสอย่างเคร่งครัด
หัวใจต่อจากนี้คือ ‘การลงทุน’ เพราะการเติบโตระยะยาวต้องเริ่มต้นจากการปลดล็อกศักยภาพการผลิต จึงผลักดัน BOI FastPass และ PPP Fast Track เพื่อแก้คอขวดที่ทําให้นักลงทุนติดค้างกว่า 4.7 แสนล้านบาท โดยยึดเส้นทางจริงของนักลงทุนเป็นตัวตั้ง และใช้พลังของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องพึ่งการกู้เงินเพิ่มเติม นี่คือจุดเริ่มต้นสําคัญของโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยการลงทุนคุณภาพสูง ไม่ใช่งบประมาณรัฐเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากคนไทยไม่ถูกยกระดับทักษะให้ทันต่อความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ รัฐบาลจึงร่วมกับภาคเอกชนปรับระบบพัฒนาทักษะเป็นแบบ Demand Driven ให้เอกชนสะท้อนความต้องการจริง แล้วรัฐจัดหลักสูตรตอบโจทย์โดยตรง ทั้งในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีดิจิทัล พร้อมผลักดัน TH-AI Passport เพื่อยกระดับความสามารถด้าน AI ให้คนไทยในวงกว้าง ต่อยอดสู่กําลังแรงงานคุณภาพที่พร้อมรองรับการลงทุนยุคใหม่ของโลก
ในอีกด้านหนึ่ง SMEs คือฐานรากสําคัญของเศรษฐกิจไทย จึงเตรียมมาตรการยกระดับตั้งแต่เงินทุน การปรับระบบสินเชื่อเชิงซัพพลายเชน ไปจนถึงการพัฒนาทักษะผู้ประกอบการรายย่อยเพื่อให้สามารถเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้จริง ทั้งหมดนี้คือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อให้ธุรกิจไทยทุกระดับเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจใหญ่
และเพื่อให้การยกระดับ SME เกิดผลจริง รัฐบาลได้ขยายมาตรการ Upskill ไปสู่ร้านค้าคนละครึ่งพลัส โดยเปิดโครงการพัฒนาทักษะให้ร้านค้ามากที่สุด 400,000 ร้านค้า เริ่มตั้งแต่วันนี้ 19 พฤศจิกายน ถึง 19 ธันวาคม 2568 ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมแพลตฟอร์ม Food Delivery หรือการผ่านหลักสูตรออนไลน์ของธนาคารออมสินและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยร้านค้าที่พัฒนาทักษะสําเร็จตามเกณฑ์จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ 20% ของยอดขายในส่วนที่รัฐร่วมจ่าย สูงสุดไม่เกิน 2,000 บาท ซึ่งจะประกาศผลผ่านแอป ถุงเงิน มาตรการนี้คือการช่วยร้านค้ารายย่อยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพิ่มยอดขายจริง และพร้อมเติบโตไปกับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
“วันนี้ รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมต่างมีบทบาทสําคัญที่ต้องทําร่วมกัน รัฐบาลจะทําหน้าที่ปลดล็อกอุปสรรค รักษาเสถียรภาพ และสร้างกติกาที่เอื้อต่อการแข่งขัน ขณะที่ภาคธุรกิจเป็นกําลังสําคัญในการสร้างนวัตกรรม การผลิต และการลงทุนใหม่ หากเรายืนเคียงข้างกัน ประเทศไทยจะสามารถก้าวข้ามข้อจํากัดเดิม ๆ ไปสู่จุดที่สูงกว่าเดิมได้ ในเวลาไม่นาน ประเทศไทยจะไม่ใช่เพียงฐานการผลิต แต่จะเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของภูมิภาค ทั้งในด้านดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ พลังงานสะอาด ยานยนต์สมัยใหม่ และอาหารแห่งอนาคต และสามารถส่งต่อเศรษฐกิจที่แข็งแรง ยั่งยืน และแข่งขันได้ให้กับคนไทยรุ่นต่อไป”ดร.เอกนิติกล่าว

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจโลกกําลังเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ แรงกดดันจากสงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยี ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังยืดเยื้อ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นโจทย์สําคัญที่ทุกประเทศ รวมถึงประเทศไทยต้องเผชิญ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่า GDP โลก ปี 2568 จะขยายตัวที่ 3.2% และปี 2569 GDP โลกจะชะลอตัวลงเหลือขยายตัวเพียง 3.1% ซึ่งยังต่ํากว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 3.7% สะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างและปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ที่สะท้อนผ่านเครื่องชี้อย่างดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ที่จัดทําโดย ส.อ.ท. ซึ่งจะเห็นว่าย้อนหลังไป 13 ปี ระดับความเชื่อมั่นยังไม่สามารถกลับมายืนเหนือค่ากลางที่ระดับ 100 ได้ สะท้อนถึงความกังวลของสมาชิก ส.อ.ท. กว่า 16,000 ราย ที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา โดยมีหลายปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทย ทั้งจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีความชัดเจน ปัญหาสินค้าราคาถูกทุ่มตลาด ค่าเงินบาทที่แข็งค่าและภาระต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าคู่แข่งในภูมิภาค ตลอดจนภาระหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลต่อกําลังซื้อภายในประเทศ
ขณะที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประมาณการ GDP ไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 1.8 - 2.2% แม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5%-10.5% แต่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ํามาก และทองคําซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนําเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ทําให้ GDP ยังคงขยายตัวในกรอบที่จํากัด แต่อย่างไรก็ตาม กกร. คาดหวังว่านโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสําคัญของเศรษฐกิจไทยให้ GDP สามารถขยายตัวได้มากกว่ากรอบประมาณการในปีนี้ และช่วยสร้างแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในปี 2569
ส.อ.ท.ในฐานะองค์กรตัวแทนภาคเอกชนด้านการผลิต เล็งเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดงานสัมมนาวิชาการประจําปี FTI Outlook 2026 เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์จากผู้บริหารภาครัฐ ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้นําภาคธุรกิจ โดยมุ่งนําเสนอฉากทัศน์เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยในปี 2569 พร้อมถอดรหัสปัจจัยเสี่ยง โอกาส และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสําคัญจากทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันต่อทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย และใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกประกอบการ กําหนดทิศทางเชิงนโยบายของภาครัฐ เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอนาคต
การจัดงาน FTI Outlook 2026 ครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสําคัญของ ส.อ.ท. ในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ด้วยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างความเข้าใจเชิงลึกต่อทิศทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย พร้อมเป็นพลังสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนสามารถปรับตัว เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในปี 2569 และอนาคตข้างหน้า
ข่าว
20 พ.ย. 2568 11:53 59 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 11:48 64 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 11:37 66 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 11:26 85 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 10:38 27 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 10:29 78 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 10:28 25 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 10:21 85 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 10:11 122 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 10:06 99 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 10:02 146 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 09:50 103 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 09:45 55 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 09:42 64 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 09:40 75 views
ข่าว
20 พ.ย. 2568 09:31 99 views