วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568
7 พ.ย. 2568 16:02 | 110 view
@pracha
นายกฯ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน “SET Government Roadshow 2025” ฟื้นคืนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ย้ําเสถียรภาพทางการเมือง การบริหารเศรษฐกิจอย่างมีวินัยการคลัง และการวาง Road Map อนาคตที่น่าเชื่อถือ พร้อมก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน
วันนี้ (วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568) เวลา 15.30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชม.) ณ โรงแรม InterContinental Singapore นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน SET Government Roadshow 2025 ภายใต้หัวข้อ “Confidence in Thailand’s Path Forward” เพื่อนําเสนอศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และส่งสัญญาณความพร้อมของรัฐบาลไทยในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ การคลัง และตลาดทุนให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
โดยภายหลังเสร็จสิ้น นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสําคัญของปาฐกถา ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวรําลึกถึงความทรงจําเมื่อครั้งทํางานภาคเอกชนที่โรงแรม InterContinental ซึ่งเคยเป็นสถานที่จัด Roadshow เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ซึ่งไทยและสิงคโปร์ต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ที่เป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นและความพร้อมของไทยในการก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน พร้อมเน้นย้ําว่า การจัด Roadshow เป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาล เพื่อแสดงศักยภาพและทรัพยากรที่ซ่อนอยู่ของประเทศไทย ซึ่งหลายฝ่ายอาจยังไม่รู้จัก พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยยังคงเป็น “ประเทศแห่งโอกาส” ที่มีความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ รัฐบาลมุ่งเดินหน้าอย่างมั่นใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เมื่อช่วงเช้า ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในเชิงยุทธศาสตร์ และความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมกล่าวยินดีต่อการจัดงานในครั้งนี้ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านการลงทุนที่เชื่อถือได้ของไทย และการเข้าร่วมงานของทุกท่านในที่นี้ สะท้อนถึงความสนใจต่อการลงทุนในไทย และความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีรู้สึกขอบคุณ
นายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า “ประเทศไทยในวันนี้มีความมั่นคง มีทิศทางที่ชัดเจน และพร้อมเดินหน้าไปข้างหน้าทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ”
ด้านการเมือง ประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคใหม่แห่งความมั่นคงทางการเมือง รัฐบาลยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ระบอบประชาธิปไตย และมุ่งสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ และคาดการณ์ได้ นอกจากนี้ รัฐบาลได้วางแนวทางทางการเมืองที่ชัดเจน ภายใต้วิสัยทัศน์ระยะยาว โดยจะมีการยุบสภาภายในเดือนมกราคม 2569 และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2569 พร้อมทั้งให้มีการทําประชามติเพื่อให้การปฏิรูปรัฐธรรมนูญเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง โดยตลอดช่วงเวลานี้ รัฐบาลจะคงความมั่นคงและความต่อเนื่องทางนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้า และนักลงทุนสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ด้วยความมั่นใจ
ด้านเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง สิ่งสําคัญที่สุดคือ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความน่าเชื่อถือ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยตระหนักดีว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ช้ากว่าที่คาดหวังและต่ํากว่าศักยภาพในระยะยาวของประเทศ แต่รัฐบาลกําลังแก้ไขปัญหานี้ด้วยมาตรการที่เจาะจงเพื่อกระตุ้นโมเมนตัมในระยะสั้น พร้อมกับวางรากฐานสําหรับการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต แนวทางของรัฐบาลนั้นเรียบง่าย ผ่านนโยบาย “Quick Big Win” ที่มุ่งเน้นการดําเนินการระยะสั้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและทั่วถึง ซึ่งนโยบายดังกล่าวเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยกระทรวงการคลังได้ปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 2.2% เป็น 2.4% ขณะที่ภาคการส่งออกมีการขยายตัวถึง 19% ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งทุกท่านจะได้รับทราบรายละเอียดเพิ่มเติมจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายหลังจากนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า หากมองภาพใหญ่ พื้นฐานเศรษฐกิจมหภาคของไทยยังคงแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ําและอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ หนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 64.6 เปอร์เซ็นต์ต่อ GDP ซึ่งต่ํากว่าเพดานทางกฎหมายของไทย

รัฐบาลยืนยันว่าการใช้จ่ายงบประมาณอยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยทุกมาตรการจะมุ่งช่วยเหลืออย่างตรงจุด ทันเวลา ใช้เฉพาะช่วงที่จําเป็น และดําเนินการอย่างโปร่งใส ซึ่งช่วยสนับสนุนให้พื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคไทยยังคงแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้อต่ํา และระดับการว่างงานต่ํา โดยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายนอกของไทยยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่ 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 3.6 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ในสามไตรมาสแรกของปี 2568 และสถานะเงินสํารองระหว่างประเทศที่สูงที่ 2.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมการนําเข้าประมาณ 8 เดือน ณ เดือนกันยายน 2568
เป้าหมายของรัฐบาลนั้นเรียบง่าย คือ เส้นทางที่มั่นคงที่จะนําประเทศไทยกลับสู่เส้นทางการเติบโตที่สูงขึ้น สร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และปกป้องครัวเรือนจากแรงกระแทกที่ไม่จําเป็น
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังให้ความสําคัญกับการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ผ่านความร่วมมือกับประเทศพันธมิตร โดยเฉพาะสิงคโปร์ ทั้งในด้านการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การเชื่อมโยงระบบดิจิทัลระหว่างกัน และการร่วมลงทุนในนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พร้อมมุ่งเน้นนโยบายที่ตอบโจทย์อนาคต โดยดําเนินมาตรการอย่างตรงเป้าหมายและให้เกิดผลระยะยาว ควบคู่กับการปฏิรูปและการลงทุนที่ช่วยเสริมฐานเศรษฐกิจให้มั่นคง
รัฐบาลยังเร่งผลักดันความก้าวหน้าให้เห็นได้จริงในภาคส่วนสําคัญของประเทศ ทั้งนี้ ไทยกําลังพัฒนาให้เป็นประเทศที่เอื้อต่อการทําธุรกิจมากขึ้น มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส โดยเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ การเชื่อมต่อดิจิทัล และระบบพลังงานสะอาดทั่วประเทศ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและยั่งยืน
โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทยได้รับคําขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากกว่า 2,600 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.37 ล้านล้านบาท หรือ 4.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงมีโครงการในอุตสาหกรรมเป้าหมายมูลค่ากว่า 4.7 แสนล้านบาท หรือ 1.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ 74 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับการผลักดันผ่านระบบ “BOI Fast Pass”

นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ความรับผิดชอบทางการคลัง คือหัวใจสําคัญของแนวทางทั้งหมด โดยรัฐบาลมุ่งใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์และประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ คือรากฐานของความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยรัฐบาลจะสื่อสารนโยบายอย่างเปิดเผย เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นทิศทางของประเทศไทยอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความสามารถทางการแข่งขันไม่ได้เกิดจากนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน และความร่วมมือระหว่างไทยกับประชาคมโลก ซึ่งในการหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในวันนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และการขยายความร่วมมือในสาขาแห่งอนาคต เช่น เศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งหนึ่งในความสําเร็จสําคัญ คือ ระบบ PromptPay–PayNow ซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงการชําระเงินแบบเรียลไทม์ครั้งแรกของโลก
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีย้ําว่า ความเชื่อมั่นไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่ต้องสร้างด้วยความน่าเชื่อถือ ความรับผิดชอบ และความยืดหยุ่น ซึ่งไทยได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่มั่นคง การบริหารเศรษฐกิจอย่างมีวินัย และความร่วมมือข้ามพรมแดน เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เชื่อมโยง มีนวัตกรรม และยั่งยืนมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนและนานาประเทศเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน และมองไทยในฐานะประเทศที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ มีพื้นฐานที่มั่นคง และพร้อมเปิดรับทุกความร่วมมือด้วยความเชื่อมั่น
อนึ่ง งาน SET Government Roadshow 2025 จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand: SET) ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จํากัด (มหาชน) และ Bank of America เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กรด้านการลงทุนในต่างประเทศ เกี่ยวกับทิศทางและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทย โดยงานดังกล่าวได้รับความสนใจจากสถาบันการเงินและการลงทุน โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 118 คน จากกลุ่มผู้จัดการกองทุน และบริษัทชั้นนําระดับโลก อาทิ 3M, Adecco, BASF, Chevron, Dow, HP, Mastercard, Pfizer, Procter & Gamble (P&G), Seagate และ Singtel เป็นต้น
ข่าว
7 พ.ย. 2568 16:31 88 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 16:12 63 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 16:08 61 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 16:02 111 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 15:38 72 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 15:29 94 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 15:26 405 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 15:08 84 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 14:36 64 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 14:12 52 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 14:02 111 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 13:55 78 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 13:48 95 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 13:40 115 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 13:27 320 views
ข่าว
7 พ.ย. 2568 13:02 96 views