“มาริษ” สวนรัฐบาล – ยกเลิก MOU ไม่ใช่เรื่องต้องทําประชามติ อย่าผลักภาระให้ประชาชน เพราะ MOU เป็นกรอบเจรจาชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่กระทบอธิปไตย แนะอย่าใช้ประชามติเป็นเครื่องมือการเมือง

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดจัดให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อพิจารณายกเลิก บันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับที่ 43 และ 44 ว่าด้วยการเจรจาเขตแดนระหว่างไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า รัฐบาลไม่จําเป็นต้องผลักภาระให้ประชาชนตัดสินใจ เพราะ สามารถยกเลิก MOU ได้ด้วยมติคณะรัฐมนตรีเอง หากเห็นว่าไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ แต่หากทําแล้วต้องกล้ารับผิดชอบผลที่ตามมา

นายมาริษ ชี้ว่า MOU ทั้ง 2 ฉบับ เป็นผลจากการทํางานร่วมกันของหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงกลาโหม กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ มหาดไทย และหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งใช้เวลา กว่า 20 ปีในการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ ก่อนลงนาม และที่ผ่านมา หน่วยราชการต่าง ๆ ก็ใช้ MOU ทั้ง 2 ฉบับเป็น กรอบสําคัญในการเจรจาเขตแดนกับกัมพูชา ทั้งในขั้นตอน การสํารวจ (Delimitation) และ การปักปันเขตแดน (Demarcation) ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

อดีต รมว.ต่างประเทศย้ําว่า MOU 43 และ 44 ไม่ได้เป็นข้อตกลงที่ทําให้ไทยเสียอธิปไตยหรือดินแดน แต่เป็นเพียง “แนวทางการเจรจา” ของคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ซึ่งทุกผลการเจรจาจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาก่อนให้ความเห็นชอบ และอย่าใช้ “ประชามติ” เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าทางออก เพราะประชาชนส่วนใหญ่ อาจยังไม่เข้าใจเนื้อหาและที่มาของ MOU ทั้ง 2 ฉบับอย่างถ่องแท้ อาจทําให้การลงคะแนนตัดสินใจอิงอารมณ์มากกว่าข้อเท็จจริง และยิ่งเพิ่มความขัดแย้งในสังคม

“ หากผลประชามติออกมาให้ยกเลิก MOU แต่ กัมพูชาไม่ยอมรับหรือไม่ให้ความร่วมมือ ไทยอาจเผชิญปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศ ซึ่งต้องแก้ไขด้วย กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่เสียงประชาชน เพราะ MOU ถือเป็น พันธกรณีทางการเมือง (Political Commitment) ภายใต้กรอบของ อนุสัญญากรุงเวียนนา ค.ศ. 1969 ที่กําหนดให้การยกเลิกข้อตกลงระหว่างประเทศทําได้ ก็ต่อเมื่อคู่ภาคีเห็นชอบร่วมกัน” นายมาริษกล่าว

นายมาริษ ย้ํา ว่า  หากรัฐบาลมั่นใจว่า MOU ไม่ก่อประโยชน์ ก็สามารถยกเลิกได้ด้วยมติ ครม. ไม่จําเป็นต้องโยนภาระให้ประชาชน แต่ต้องพร้อมรับผิดชอบผลทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อาจตามมา