ปานเทพ ชี้ รัฐบาลมีอํานาจยกเลิก MOU 43 ตามอนุสัญญาไทย–ฝรั่งเศส 1969 หากพบการละเมิดร้ายแรง แนะใช้กลไกทวิภาคีใหม่แทน พร้อมเตือน “หากปล่อยไว้อาจเสียเปรียบเพิ่ม”

นายปานเทพ พัวพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เปิดเผยกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดจัดออกเสียงประชามติในการยกเลิก MOU 43 ว่า คณะรัฐมนตรียกเลิก MOU 43 ได้ทันที โดยอาศัยอนุสัญญาว่าด้วยไทย-ฝรั่งเศส 1969 มาตรา 60 ซึ่งระบุว่า การยกเลิกสนธิสัญญาจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด สามารถกระทําได้ทันที หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดละเมิดสนธิสัญญาอย่างร้ายแรง อาทิ กรณีที่กัมพูชาใช้อาวุธสงครามโจมตีไทย

นายปานเทพ มองว่า การรอให้ประชาชนออกเสียงประชามติในวันเลือกตั้ง เป็นการโยนภาระให้รัฐบาลใหม่ตัดสินใจ ซึ่งในฐานะผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ MOU 43 ยืนยันว่า จะรณรงค์ให้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องอธิปไตยของไทยและบีบให้กัมพูชาเข้าสู่การเจรจาในสนธิสัญญาหรือกรอบการเจรจาใหม่ที่เป็นธรรม ทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน

พร้อมเปิดเผยว่า เรื่องเขตแดนไทย ตกลงเสร็จสิ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 อีกทั้งก่อนปี พ.ศ. 2542 หรือก่อนมี MOU 43 ย้อนไปถึงรัชกาลที่ 5 สยามและกัมพูชาอยู่ในอาณาบริเวณได้ โดยไม่ต้องมี MOU แต่การมี MOU ตลอด 25 ปีที่ผ่านมา พบว่า กัมพูชารุกล้ําแผ่นดินไทยทุกพื้นที่ ตามเขตชายแดน บริเวณสันปันน้ํา และใช้แผนที่ 1 : 200,000 ทําให้ไทยเสียเปรียบ หากปล่อยทิ้งไว้ หลังจากนี้ สิ่งปลูกสร้างและอาวุธของกัมพูชาจะมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นตามมา จึงมองว่า เป็นโอกาสเหมาะสมที่จะยกเลิก MOU 43 และใช้กลไกเจรจาอื่น อาทิ GBC, JBC และ RBC

ขณะเดียวกัน นายปานเทพ ขอให้คลายกังวลว่า กัมพูชาจะดึงไทยเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เนื่องจากไทยถอนตัวจากเขตอํานาจของศาลโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 และคดีปราสาทเขาพระวิหารเป็นคดีสุดท้ายที่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีโอกาสที่ประเทศอื่นจะบังคับให้ไทยเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกได้ หากไทยไม่ยอมรับอํานาจศาลโลก ทั้งนี้ หากจะมีประเทศที่ 3 เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยก็ต้องให้คู่เจรจายินยอม ไทยจึงต้องยืนหยัดปกป้องอธิปไตยและบังคับใช้กฎหมายตามความเหมาะสม รวมถึงปิดด่าน ซึ่งเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจที่จะใช้กดดันกัมพูชา เพื่อลดความรุนแรงและไม่ให้เกิดการเสียเลือดเนื้อ