นายกรัฐมนตรี “อนุทิน ชาญวีรกูล” ยืนยันกัมพูชาต้องปฏิบัติตามข้อตกลง GBC ทั้ง 4 เงื่อนไข ถอนอาวุธ–ถอนกําลัง–ปราบสแกมเมอร์–บริหารชายแดน พร้อมมั่นใจไทยให้ความเป็นธรรมและเคารพสิทธิมนุษยชน

วันที่ 7 ตุลาคม 2568 - นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาการรุกล้ําพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่ บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อําเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ว่า ขณะนี้ได้มีการหารือร่วมกับทางกัมพูชาแล้ว และยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาจะต้องปฏิบัติตาม ข้อตกลงคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งมี 4 ข้อหลัก ได้แก่  การถอนอาวุธ ,  การถอนกําลังทหาร ,  การปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ ,  การบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนให้เรียบร้อย

นายกรัฐมนตรีระบุว่า การดําเนินการตามกรอบดังกล่าวเป็นเรื่องชัดเจน “อะไรที่เป็นพื้นที่ของไทย ก็ต้องให้ผู้ที่รุกล้ําออกไปจากพื้นที่” ขณะเดียวกันยืนยันว่าเรื่องสิทธิมนุษยชนไม่ใช่ปัญหา เพราะไทยพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยยึดหลักกฎหมายเดียวกัน ไม่มีการเลือกปฏิบัติ  เมื่อถูกถามถึงกรณีหากฝ่ายกัมพูชาไม่ดําเนินการตามข้อตกลง นายอนุทินกล่าวว่า ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนของกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายอํานาจให้ดูแลตามลําดับชั้นแล้ว ทั้งในส่วนของ กระทรวงกลาโหม, กระทรวงการต่างประเทศ, และ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ซึ่งได้รับอํานาจในการดูแลพื้นที่โดยตรง

ส่วนกรณีเหตุ ปล้นร้านทองกลางเมืองสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่แล้ว และเชื่อมั่นในความสามารถของ ตํารวจและทหารในพื้นที่ ที่จะดูแลความปลอดภัยประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง ยืนยันว่าเหตุการณ์ดังกล่าว “ไม่เกี่ยวกับการเมือง หรือการรับน้องรัฐบาลใหม่” พร้อมเน้นว่าพื้นที่ชายแดนใต้ยังอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ซึ่งสามารถดําเนินมาตรการความมั่นคงได้อย่างเต็มที่

ในช่วงท้าย นายอนุทินกล่าวถึงกระแสข่าวเรื่อง ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ชินวัตร ว่า ขณะนี้กระทรวงยุติธรรมได้ส่งเอกสารไปยังสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว และทุกอย่างต้องดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนตัวยังไม่เห็นเอกสารดังกล่าวจึงไม่สามารถให้ความเห็นเพิ่มเติมได้ พร้อมย้ําว่า การดําเนินการดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลก่อนหน้า ขณะที่กรณีการแต่งตั้งคณะทํางานของ พลตํารวจโท รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายกรัฐมนตรีระบุว่า ไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหรือ “ล้วงลูก” การบริหาร แต่ย้ําว่าทุกการแต่งตั้งต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรมอย่างเคร่งครัด