วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม 2568
2 ต.ค. 2568 15:29 | 63 view
@pracha
ธรรมนัส คุม เกษตรฯ สานต่อ 6 นโยบายเดิม พ้อหายไป 1 ปี ให้มวยแทนมารับผิดชอบแต่ไม่ได้ตามหวัง
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ห้องประชุมธารทิพย์ 01 ชั้น 4 อาคาร 99 ปี หม่อมหลวงชูชาติ กําภู กรมชลประทาน สามเสน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานและมอบนโยบายการบริหารราชการ แก่ข้าราชการและผู้บริหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่าเป็นครั้งแรกที่รองนายกฯ นั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย ในฐานะที่เป็น สส.พะเยา ได้คะแนนเสียงมากกว่า 50,000 คะแนน สําคัญที่สุด จะต้องคํานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชนเป็นที่ตั้ง ตนเองหายไป 1 ปีเต็ม แม้จะคอยเป็นที่ปรึกษาอยู่ข้างหลัง แต่การใช้มวยแทนเข้ามารับผิดชอบก็ไม่สัมฤทธิ์ผลตามที่คาดหวังเอาไว้ ปัจจุบันไทยกําลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ หากรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ อย่าคิดว่าจะแก้ปัญหาอื่นได้ จึงต้องเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมโทรมและปัญหาความมั่นคงตามมา
“ผมผ่านการเป็นรัฐมนตรีมาเป็นครั้งที่ 3 มีผู้บังคับบัญชาเป็น พลเอกประยุทธ์ นายเศรษฐา นายอนุทิน แต่บทบาทของแต่ละนายกฯ ไม่เหมือนกัน พลเอกประยุทธ์ มีความเด็ดขาด สั่งการชัดเจน นายเศรษฐามีปัญหาที่ปทุมธานี ตั้งโต๊ะวงกลมเจราจาระดับผู้บริหาร เจรจาจบทํางานต่อ ผมชอบ นายอนุทินผสมผสานระหว่างพลเอกประยุทธ์ และนายเศรษฐา มีความมั่นใจว่า ผู้นําแบบนี้จะนําบ้านเมืองพ้นวิกฤต 3 อย่าง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
ขณะที่สภาพความไม่สงบของภัยธรรมชาติที่เกิดจากปัญหาความแปรปรวนของสภาพอากาศ ตนเองหลับตาก็เห็นหมดแล้วว่าน้ําแต่ละที่ไหลเข้ามาอย่างไร หลายคนบอก “ธรรมนัสตายแน่ พูดแล้วทําไม่ได้” แต่ตนเองเอาอยู่ตั้งแต่ปี 62 จนถึงปัจจุบัน เพราะมีการบริหารจัดการน้ําอย่างมีประสิทธิภาพ ขอข้าราชการอย่าออกกฎหมายที่ยุ่งยาก บางฉบับบ้า ๆ บอ ๆ ทําให้ประชาชนเสียหาย เช่น พ.ร.บ.การประมงฯ
ร.อ. ธรรมนัส เปิดเผยว่า หลักการทํางานสําคัญในกระทรวงเกษตรฯ ยุคตน คือ การยึดมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมุ่งเน้นการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธาน พร้อมกําหนดเป้าหมายหลัก คือ การขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ด้านการเกษตรและวิสัยทัศน์ Ignite Thailand เพื่อยกระดับให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการเกษตรและอาหารของโลก (Agricultural and Food Hub)
การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จําเป็นต้องยกระดับการขับเคลื่อนใน 2 มิติสําคัญ คือ ด้านการผลิต และด้านการตลาด โดยในส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ การขับเคลื่อนด้านการผลิต (Supply-side) ซึ่งถือเป็นกลไกสําคัญ (Engine) และเป็นหัวใจของภาคการผลิต โดยแบ่งการดําเนินงานเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1. การยกระดับศักยภาพสินค้าเกษตรเพื่อการเพิ่มรายได้ โดยกําหนดกลุ่มสินค้าเป้าหมายหลักออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าที่ผลิตได้เกินกว่าความต้องการของตลาด (ข้าว ปาล์มน้ํามัน ยางพารา โคเนื้อ ไก่เนื้อ และกุ้ง) และกลุ่มสินค้าที่ยังผลิตได้น้อยกว่าความต้องการ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง กาแฟ ทุเรียน และถั่วเหลือง) ซึ่งสินค้าแต่ละชนิดจะได้รับการบริหารจัดการที่หลากหลายและแตกต่างกันตามมิติของผลิตภัณฑ์
2. การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรและบุคลากรภาคการเกษตร โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะดําเนินการสนับสนุนปัจจัยการผลิตที่จําเป็น (อาทิ พันธุ์ ดิน ปุ๋ย) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรสมัยใหม่ ตลอดจนสนับสนุนการผลิตแบบมีเงื่อนไข เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและสร้างความยั่งยืนให้กับอาชีพเกษตรกรรม
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า สําหรับภารกิจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หลังจากนี้ ได้กําหนดแนวทางการดําเนินงานโดยการสานต่อนโยบายเดิมที่เคยได้เดินหน้าไว้ต่อเนื่องและมุ่งเน้น รวม 6 ด้านสําคัญ ดังนี้
1. เร่งรัดการจัดที่ดินทํากินและสร้างความมั่นคงด้านกรรมสิทธิ์ มุ่งเน้นการจัดที่ดินทํากินให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม พร้อมเร่งรัดการยกระดับเอกสารสิทธิ์ให้เป็น โฉนดเพื่อการเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านกรรมสิทธิ์ที่ดิน ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน เช่น ระบบชลประทาน ถนน และไฟฟ้า รวมถึงสนับสนุนการใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกัน เพื่อเข้าถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการลงทุนและสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
2. บริหารจัดการน้ําทั้งระบบเชิงรุก เน้นการบริหารจัดการน้ําอย่างมีระบบและต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้กรมชลประทาน กรมฝนหลวงและการบินเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกันจัดทํา แผนบริหารจัดการน้ําทั้งระบบ เน้นการดําเนินงานเชิงรุก ทั้งการป้องกันน้ําท่วม การแก้ไขปัญหาภัยแล้ง และการเติมน้ําในเขื่อน เพื่อให้เกษตรกรมีน้ําใช้เพียงพอตลอดฤดูการผลิต พร้อมเน้นย้ําให้รายงานอุปสรรคด้านกฎหมายหรือข้อจํากัดในพื้นที่ เพื่อนําไปสู่การแก้ไขและผลักดันให้เกิดผลสําเร็จที่เป็นรูปธรรม
3. ยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพตามมาตรฐานสากลที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด พร้อมส่งเสริมการสร้าง ตราสินค้า (Brand) และ เรื่องราว (Story) ในระดับจังหวัดและอําเภอ เพื่อสร้างเอกลักษณ์และมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนสนับสนุนกิจกรรมเสริม (เช่น การแปรรูปสินค้าเกษตร การท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน) เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่หลากหลาย และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้ทางเดียว
4. เสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็ง สนับสนุนการเป็น ผู้ให้บริการทางการเกษตรครบวงจร ของเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกร พร้อมจัดหา สินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (Soft Loan) เพื่อการจัดหาเครื่องจักรกลทางการเกษตรและอุปกรณ์ที่จําเป็น และมอบหมายให้เกษตรจังหวัดทําหน้าที่ประชาสัมพันธ์และขึ้นทะเบียนเครื่องจักรกลเพื่อให้บริการในพื้นที่อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาสหกรณ์การเกษตร โดยสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนและต่อยอดธุรกิจ รวมถึงกําหนดระบบการประเมินผลและตรวจสอบการดําเนินงานของสหกรณ์ เพื่อสร้างความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นต่อสมาชิกและสังคม
5. จัดการทรัพยากรทางการเกษตรเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Go Green) ส่งเสริมการทําเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Go Green) ตามแนวทาง BCG / Carbon Credit เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการลดการเผาซังข้าว/ตอซัง และลดการใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงเกินความจําเป็น พร้อมผลักดันการใช้เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อผลิต พลังงานทดแทน ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรกรรมตาม Agri-Map และฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน รวมถึงการจัดทํามาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและรับมือภัยแล้ง น้ําท่วม และภัยพิบัติอื่น ๆ ให้สามารถดําเนินการได้ทันท่วงที และเร่งสร้าง อาชีพทดแทน ให้แก่เกษตรกรในช่วงเกิดภัยพิบัติ
6. ปราบปรามสินค้าเกษตรผิดกฎหมายอย่างเข้มงวด ดําเนินมาตรการอย่างเข้มงวดในการ ปราบปรามการลักลอบนําเข้าสินค้าเกษตรที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อระบบการผลิตและเสถียรภาพราคาสินค้าในประเทศ พร้อมตรวจสอบและติดตาม สต็อกสินค้าเกษตร ภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง รวมถึงควบคุมการนําเข้าสินค้าเกษตรในช่วงก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาและปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรไทย
ทั้งนี้ ร.อ. ธรรมนัส กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากภารกิจข้างต้น กระทรวงเกษตรฯ ได้กําหนด นโยบายเร่งด่วน “3 สร้าง” เพื่อเป็นกลไกสําคัญในการสร้างความเข้มแข็งในระยะแรก ได้แก่ 1. สร้างรายได้ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวนาปรังเป็นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์/พืชตระกูลถั่ว และสร้างรายได้จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร 2. สร้างตลาด ขยายตลาดสินค้าเกษตรทั้งในและต่างประเทศ พร้อมเชื่อมโยงสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์กับการท่องเที่ยว และ 3. สร้างโอกาส ยกระดับทักษะ (Reskill และ Upskill) ของเกษตรกรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
“การจะเป็นมหาอํานาจที่แท้จริง คือเราต้องขยายอาณาจักรภาคการเกษตร ทําให้การผลิตเข้มแข็ง และสอดคล้องกับบริบทของแต่ละยุค แต่ละสมัย แต่ละพื้นที่ สิ่งสําคัญที่สุดคือ เราโชคดีที่ได้รับพระราชดํารัสชี้แนะมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะเรื่อง ‘การตลาด’ หรือ ‘พาณิชย์’ หากเราทําให้ภาคเกษตรและภาคพาณิชย์เดินคู่กัน ตลาดต้องนํา นวัตกรรมต้องเสริม รายได้ของพี่น้องเกษตรกรก็จะเพิ่มขึ้น” ร.อ.ธรรมนัส กล่าว
ข่าว
2 ต.ค. 2568 16:04 136 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 15:45 69 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 15:45 70 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 15:45 73 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 15:29 64 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 15:22 74 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 15:08 104 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 14:59 81 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 13:33 96 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 13:06 112 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 13:01 81 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 12:47 83 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 12:35 88 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 12:18 92 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 10:39 131 views
ข่าว
2 ต.ค. 2568 10:26 118 views