แม่ทัพภาค 2 เผยเบื้องหลังเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา คาดอีกฝ่ายสูญเสียทหารกว่า 3,000 นาย ยึด 11 เป้าหมายได้เกือบหมด เหลือเพียงปราสาทตาควาย

วันที่ 10 สิงหาคม 2568 ที่สโมสรร่วมเริงชัย ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบเครื่องเวชภัณฑ์ อุปโภคบริโภค และโดรน จากประธานรัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา และภาคเอกชน เพื่อนําส่งต่อให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมบรรยายสรุปสถานการณ์ล่าสุด

พลโทบุญสิน เปิดเผยว่า เมื่อเข้ารับตําแหน่งเมื่อเดือนตุลาคม 2567 พบว่าฝ่ายกัมพูชามีการวางกําลังรุกล้ําเข้ามาในเขตแดนไทยราว 100–150 เมตร ฝ่ายไทยพยายามเจรจาให้ถอนกําลังแต่ไม่เป็นผล จึงตัดสินใจปิดด่าน ซึ่งนําไปสู่เหตุการณ์ปะทะ โดยยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายยิงก่อน เหตุเริ่มจากการปิดปราสาทตาเมือนธมที่เคยเปิดให้ประชาชนสองประเทศขึ้นสักการะ แต่เมื่อเกิดความวุ่นวายจนสุ่มเสี่ยงต่อการปะทะ จึงต้องปิดปราสาท ซึ่งเท่ากับการประกาศสงครามในสายตาฝ่ายตรงข้าม

การปฏิบัติการในช่วง 4 วันของการปะทะ มีเป้าหมาย 11 จุด ฝ่ายไทยยึดได้เกือบทั้งหมด เหลือเพียง “ปราสาทตาควาย” ที่ยังเข้าไปยึดในตัวปราสาทไม่ได้ เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาตั้งฐานใกล้และวางกับระเบิดขวางไว้ ทําให้ต้องตรึงกําลังห่างออกมาประมาณ 30 เมตร

แม่ทัพภาคที่ 2 คาดการณ์ว่า ฝ่ายกัมพูชาสูญเสียกําลังพลไม่น้อยกว่า 3,000 นาย จากการรบที่เข้ามาเป็นจํานวนมาก พร้อมย้ําว่าแม้จะเห็นใจทหารฝ่ายตรงข้าม แต่ทั้งหมดก็ปฏิบัติตามคําสั่งของผู้นําของตน

ในประเด็น “โดรน” แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ปัจจุบันมีการใช้โดรนเพิ่มขึ้นทั้งในพื้นที่ชายแดนเพื่อภารกิจยุทธวิธี และในพื้นที่ตอนในซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคง เนื่องจากอาจใช้หาพิกัดสนามบิน บ้านผู้นําทางทหาร และคลังอาวุธ เพื่อใช้เป็นข้อมูลโจมตี จึงขอให้ทุกฝ่ายร่วมเป็นหูเป็นตา และให้ความสําคัญกับการตรวจจับ รวมถึงพิจารณากําหนดยุทธศาสตร์ด้านโดรนเป็นวาระแห่งชาติ