"ภูมิธรรม" นั่งหัวโต๊ะหารือมาตรการรับมือ ทรัมป์ขึ้นภาษี 19%  ย้ำไทยยังแข่งได้-สั่งใช้งบฉุกเฉินเยียวยาชายแดนทันที ด้าน "จตุพร" สั่งการกระทรวงพาณิชย์ช่วยผู้ประกอบการเต็มที่

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เชิญประชุม ครม. นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องของอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา โดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ที่ ห้อง 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล และการประชุมทางสื่ออิเลคทรอนิกส์

นายภูมิธรรม ฯ กล่าวว่า “เมื่อเช้านี้ประเทศไทยได้รับแจ้งจาก สหรัฐฯว่า สินค้าจากไทยที่ส่งไปจำหน่ายในสหรัฐฯจะถูกเรียกเก็บภาษี 19% ซึ่งเท่ากับหลายๆประเทศในภูมิภาค ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะพอทำให้เรายังคงแข่งขันได้ โดยในกระบวนการเจรจานี้ มีขั้นตอนสำคัญคือรัฐบาลไทยต้อง ออกถ้อยแถลงร่วมไทย-สหรัฐฯ ซึ่งคณะทำงาน โดยรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้ร่วมกับฝ่ายสหรัฐฯ จัดทำร่างขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรีก่อน จึงได้เชิญประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นวาระพิเศษ เพื่อพิจารณาให้รองนายกฯนายพิชัย สามารถนำเอกสารนี้ไปออกเป็นแถลงการณ์ร่วมได้”

นอกจากประเด็นด้านเศรษฐกิจแล้ว นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม. นัดพิเศษยังได้อนุมัติในหลักการให้ใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเยียวยาเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเป็นการเพิ่มเติม โดยมอบหมายให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นแกนหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปกำหนดหลักเกณฑ์โดยด่วน

"การประชุมนัดพิเศษวันนี้สะท้อนว่ารัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับปัญหาเร่งด่วน ทั้งปากท้องของประชาชนผ่านภาคการส่งออก และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สามารถรอการประชุมตามวาระปกติได้" นายจิรายุ กล่าว

ขณะเดียวกัน เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้เตรียมจัดตั้ง ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service : OSS)ทันที เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อย ให้สามารถปรับตัวและเข้าถึงข้อมูล แนวทางปฏิบัติ และการสนับสนุนด้านการเงินได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งเจรจาเปิดตลาดใหม่และผลักดันข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างโอกาสทางการค้าใหม่ๆ