วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม 2568
12 ก.ค. 2568 11:50 | 92 view
@juthamas
บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า เนื้อหมูและเครื่องใน อาจตกเป็นหนึ่งในข้อเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนภาษีทรัมป์ที่ไทยโดน 36% เนื้อหมูและเครื่องในเป็นหนึ่งในรายการสินค้าเกษตรอันดับต้นๆที่ถูกนำมาใช้ต่อรองเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ หลังจากในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 สหรัฐฯได้ประกาศใช้อัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ฉบับใหม่ โดยไทยโดนเก็บ 36% มีผลบังคับใช้ 1 สิงหาคม 2568
สหรัฐฯมีแนวโน้มกดดันให้ไทยนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องในที่ Made in USA เนื่องจากเป็นรายการสินค้าเกษตรเข้าข่ายที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (United States Trade Representative: USTR) ได้ประเมินไว้ให้ไทยต้องเปิดตลาดและเพิ่มการนำเข้าจากสหรัฐฯมากขึ้น ด้วยเหตุที่ไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากสหรัฐฯสูง ในขณะที่ไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯในสัดส่วนน้อย
ขณะที่ปัจจุบันศักยภาพการผลิตหมูไทยแข่งขันกับหมูสหรัฐฯได้ยากในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของผู้ผลิตสหรัฐเป็นผู้ผลิตอันดับ3ของโลกคิดเป็น 12.6 ล้านตันหรือ 11% ของผลผลิตหมูทั้งโลก ขณะที่ไทยผลิตได้น้อยกว่าสหรัฐฯถึง 8 เท่า หรือผลิตได้ราว 1.6 ล้านตัน สหรัฐฯเป็นผู้ส่งออกอันดับ1 ของโลก คิดเป็น 3.2 ล้านตัน หรือ 31% ของปริมาณส่งออกหมูทั้งโลก ขณะที่ไทยส่งออกน้อยมากโดยใช้ในประเทศเป็นหลัก
ส่วนสหรัฐฯมีความพร้อมด้านวัตถุดิบราคาถูกทั้งข้าวโพดและถั่วเหลืองที่สหรัฐฯผลิตเองได้มาก แต่ไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารสัตว์ โดยเฉพาะข้าวโพดและถั่วเหลือง สหรัฐฯมีฟาร์มขนาดใหญ่มีหมูมากกว่า 5,000 ตัวต่อฟาร์ม และส่วนใหญ่เป็น Factory Farm สัดส่วนการผลิตหมูที่ได้จากฟาร์มกว่า 90% มาจากฟาร์มขนาดใหญ่ ขณะที่ไทยเป็นฟาร์มขนาดเล็กมีหมูมากกว่า 50 ตัวต่อฟาร์ม และส่วนใหญ่เป็นฟาร์มแบบดั่งเดิม และมีสัดส่วนการผลิตหมูกว่า 75% มาจากฟาร์มขนาดกลางและใหญ่ สหรัฐฯมีการผลิตมากกว่าความต้องการบริโภค 1.27 เท่า ขณะที่ไทยมีผลิตเพียงพอกับการบริโภคในประเทศและพึ่งพาตัวเองได้ดี
หมูสหรัฐฯมีความโดดเด่นในด้านการผลิตระดับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าไทย ราคาขายหมูไทยแพงกว่าหมูสหรัฐฯกว่า 1.3 เท่า ศักยภาพหมูสหรัฐฯที่แข็งแกร่งและมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้สหรัฐฯสามารถขายหมูได้ในราคาต่ำ โดยในช่วงปี 2563-2567 ราคาขายหมูสหรัฐฯเฉลี่ยที่ 1.7 ดอลลาร์ฯต่อกก. ขณะที่ราคาขายหมูไทยเฉลี่ยที่ 2.3 ดอลลาร์ฯต่อกก.
หากไทยยอมเปิดตลาดให้หมูสหรัฐฯเข้ามาตีตลาด จะส่งผลกระทบทั้งห่วงโซ่อุปทานหมูไทย เนื้อหมูและเครื่องในราคาถูกจากสหรัฐฯที่จะทะลักเข้ามายังไทย จะกระทบต่ออุตสาหกรรมหมูไทยที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นหลัก ซึ่งแต่ละผู้เล่นต่างมีความเชื่อมโยงและจะกระทบต่อเนื่องกันเป็น Domino Effect ดังนี้
1.เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู จำนวน 1.49 แสนราย ที่เกือบทั้งหมดเป็นรายย่อยกว่า 97% จะได้รับผลกระทบโดยตรงให้ว่างงานและขาดรายได้ ซ้ำเติมเดิมที่ผู้เลี้ยงลดลงไปแล้วกว่า 21% ในช่วงปี 2564-2567 จากภาวะขาดทุนสะสมจนต้องเลิกกิจการไป
2.เกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์อย่างรำสด ข้าวโพด ปลายข้าว (วัตถุดิบหลักในประเทศที่ใช้เลี้ยงหมู) รวมราว 5 ล้านครัวเรือน จะมีผลผลิตเหลือ และกดดันราคาให้ตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรกลุ่มนี้ให้ลดลง
3.โรงชำแหละ อาจถูกตัดวงจรขั้นตอนนี้ไป จนต้องเลิกกิจการในที่สุด
4.เขียงหมู ถูกกดดันรายได้บางส่วนจากเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐฯที่ทำการแยกชิ้นส่วนสำเร็จพร้อมบริโภคมาบ้างแล้ว
5.มูลค่าตลาดเนื้อหมูไทยคาดสูญเสียเบื้องต้นราว 112,330 ล้านบาท ในกรณีที่ไทยเปิดตลาดให้เนื้อหมูสหรัฐฯเข้ามาอย่างเสรี 100% ทั้งนี้การประเมินดังกล่าวยังไม่นับรวมความสูญเสียในกรณีที่ไทยนำเข้าเครื่องในหมูด้วย
6.ผู้บริโภคและร้านอาหาร แม้จะสามารถซื้อเนื้อหมูและเครื่องในหมูสหรัฐฯได้ในราคาถูก ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารได้ แต่ในระยะยาวสารเร่งเนื้อแดงในหมูสหรัฐฯ จะทำให้ผู้บริโภคอาจเกิดอาการข้างเคียงต่อสุขภาพได้หลากหลาย
ข่าว
12 ก.ค. 2568 15:46 65 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 14:58 72 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 13:42 80 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 13:38 74 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 13:35 88 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 12:46 89 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 12:09 81 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 12:03 100 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 11:59 81 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 11:57 85 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 11:50 93 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 11:49 88 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 10:59 112 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 10:15 99 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 09:57 180 views
ข่าว
12 ก.ค. 2568 09:29 113 views