รูบิโอ รมว.กต.สหรัฐฯ กร้าว พุ่งเป้าถอนวีซ่านักเรียนจีน จ่อปรับเกณฑ์ออกวีซ่าจีน-ฮ่องกง

นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ประกาศเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะเพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนอย่างเด็ดขาดเข้มงวด นับเป็นการโจมตีที่สร้างแรงกระแทกต่อกลุ่มนักเรียนต่างชาติและสถาบันอุดมศึกษาทั่วสหรัฐอีกครั้ง

รูบิโอระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศจะร่วมมือกับกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) ในการดำเนินการเพิกถอนวีซ่า ซึ่งจะพุ่งเป้าไปที่นักเรียนจีน รวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือผู้ที่ศึกษาอยู่ในสาขาที่สำคัญ

“เราจะแก้ไขเกณฑ์การออกวีซ่าใหม่ เพื่อเพิ่มการตรวจสอบอย่างเข้มงวดสำหรับการขอวีซ่าในอนาคตทั้งหมดจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและฮ่องกง” รูบิโอกล่าว

คำพูดของรูบิโอมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลทรัมป์กำลังดำเนินมาตรการต่างๆ ที่อาจทำให้นักเรียนต่างชาติลังเลที่จะมาศึกษาต่อในสหรัฐ หลังมีรายงานก่อนหน้านี้หนึ่งวันว่ากระทรวงการต่างประเทศได้สั่งให้สถานทูตและสถานกงสุลใหญ่สหรัฐระงับการนัดหมายขอวีซ่านักเรียนใหม่ชั่วคราว ขณะที่รัฐบาลกำลังขยายมาตรการตรวจสอบโซเชียลมีเดียของผู้สมัคร และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลยังเพิกถอนสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในการรับนักเรียนต่างชาติ แต่ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางได้สั่งระงับคำสั่งนั้นในภายหลัง

ด้านคริสตี โนม รัฐมนตรีความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาอย่างจริงจังที่จะดำเนินมาตรการกำหนดเป้าหมายในลักษณะเดียวกับที่ทำกับฮาร์วาร์ดกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ด้วย

ประกาศดังกล่าวกลายเป็นความขัดแย้งครั้งล่าสุดในรอยร้ายที่กำลังลุกลามมากขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ ซึ่งสายสัมพันธ์ด้านการศึกษาที่เคยแน่นแฟ้นกำลังถูกพลิกโฉมจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง และเป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าและเทคโนโลยีที่กำลังดำเนินอยู่

ตามข้อมูลจาก Open Doors ฐานข้อมูลที่ติดตามจำนวนการลงทะเบียนเรียนของนักเรียนต่างชาติภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐระบุว่า จีนเคยเป็นนักเรียนและนักศึกษาต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดในสหรัฐต่อเนื่องกันนานถึง 15 ปี ตั้งแต่ปี 2009 ก่อนจะถูกอินเดียแซงหน้าเมื่อปีที่แล้ว

ตลอดระยะเวลาดังกล่าว ความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างสหรัฐกับจีนพัฒนาเป็นความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นใกล้ชิดระหว่างนักวิชาการและสถาบันต่างๆ ของทั้งสองประเทศ ขณะที่มหาวิทยาลัยและภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐก็ได้รับประโยชน์จากความสามารถในการดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูงจากจีนและประเทศอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เหล่านี้เริ่มถูกจับตามองมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐเริ่มมองว่าจีนที่มีอำนาจมากขึ้นและมีบทบาทเชิงรุกมากขึ้น กำลังก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งด้านเทคโนโลยี และเป็นภัยคุกคามต่อสถานะความเป็นมหาอำนาจของตนเอง