วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568
20 มี.ค. 2568 12:04 | 320 view
@pracha
ศาลสั่งจำคุก “กฤษณ์ ณรงค์เดช” 44 เดือนไม่รอลงอาญา ยักยอกทรัพย์ “ณพ”
วานนี้ 19 มี.ค. ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดี อ.1662/2566 ระหว่างนายณพ ณรงค์เดช เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายกฤษณ์ ณรงค์เดช บริษัทซีบีเอ็นพีจำกัด และกรรมการทำการบริษัท เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์
คำฟ้องสรุปว่า คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช มารดาของโจทก์ขณะมีชีวิตอยู่ได้มีการนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบริเวณตำบลศีรษะจรเข้ใหญ่ กิ่งอำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ออกให้บุคคลภายนอกเช่า รวมถึงได้ให้บริษัท โทลล์ โลจิสติก จำกัด เช่า โดยได้รับค่าเช่า หลังจากที่คุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว เมื่อวันที่15 ก.พ.59 ต่อมา จำเลยที่ 1 โจทก์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช เข้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินผืนดังกล่าว จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำบัญชีทรัพย์มรดกและไม่นำเงินส่วนแบ่งค่าเช่าและค่าเช่าช่วงมอบให้โจทก์ตามสิทธิทั้งในฐานะทายาทและในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินข้างต้น โดยโจทก์ได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 จัดทำบัญชีทรัพย์มรดก และแบ่งปันทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นแต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย
ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 เจตนาเบียดบังเอาค่าเช่าและค่าเช่าช่วงที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นของตนและบุคคลอื่นโดยทุจริตโดยโจทก์มิได้ยินยอม ทั้งนี้จำเลยที่ 2-3 ต่างก็ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นอย่างดีแต่ก็ยังสมคบกับจำเลยที่ 1 ไม่ส่งมอบเงินตามสิทธิที่โจทก์มีสิทธิได้รับให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามมีเจตนาทุจริตยักยอกทรัพย์คือเงินค่าเช่าโจทก์รวมแล้วหลายครั้งเป็นเงินกว่า 35 ล้านบาท และขอให้นับโทษต่อจากคดีในศาลนี้ที่เคยพิพากษาลงโทษจำคุกไม่รอลงอาญาไว้ 12 เดือน
โดยวันนี้ศาลไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวเข้าฟังคำพิพากษา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาสั่งจำคุกนายกฤษณ์ ณรงค์เดช 44 เดือน ไม่รอลงอาญา โดยจำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวในวงเงิน 400,000 บาท
นายณพ โจทก์ กล่าวภายหลังมีคำพิพากษาว่า คดีนี้ตนยื่นฟ้องพี่ชายของตนอย่างนายกฤษณ์ เนื่องจากมีที่ดินแปลงหนึ่งเป็นทรัพย์สินของมารดา และมีการนำที่ดินไปให้เช่าโดยไม่มีการบอกกล่าวกับตนเอง อีกทั้งไม่เคยแบ่งรายได้จากการเช่าที่ดินที่ตนมีส่วนอยู่ด้วย ก่อนหน้านี้ตนเคยยื่นฟ้องนายกฤษณ์ ในศาลแขวงกรุงเทพใต้ไปแล้ว 1 คดีจากมูลเหตุลักษณะเดียวกัน ซึ่งศาลพิพากษาจำคุก 12 เดือนโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นอุทธรณ์
นายณพ กล่าวต่อว่า ส่วนในคดีนี้เป็นคดีที่ 2 ที่ตนยื่นฟ้องพี่ชายตนเองในคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งมูลค่าสูงกว่าคดีแรก ในวันนี้ศาลมีคำสั่งพิพากษาจำคุก 44 เดือน ไม่รอลงอาญา และเหตุผลที่ศาลสั่งจำคุกไม่รอลงอาญาเนื่องจากนายกฤษณ์ ยังมีพฤติการณ์ในลักษณะเดิมและหลักฐานค่อนข้างชัดเจน คดีนี้มีการกระทำผิด 11 กรรม โดยศาลลงโทษจำคุกกรรมละ 4 เดือน
นายณพ กล่าวอีกว่า ตนมีเรื่องฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องมรดกตั้งแต่ปี 2561 ภายหลังจากมารดาของตนเองซึ่งเป็นเจ้าของมรดกเสียชีวิต ซึ่งมรดกส่วนนี้ยังไม่มีการจัดการแบ่งให้เรียบร้อยทั้งๆ ที่มารดาของตนเองได้ระบุรายละเอียดไว้แล้วอย่างชัดเจน และไม่มีการจัดแบ่งมรดกไว้ตามเจตนารมณ์ของมารดาตนเอง ถึงแม้ว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้ตนเข้าเป็นผู้จัดการมรดกร่วม ก็ไม่สามารถจัดการแบ่งมรดกได้ เพราะไม่ได้รับความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดทำรายการบัญชีทรัพย์สิน
นายณพ กล่าวอีกว่า ตนยืนยันว่าที่ผ่านมามีการพูดคุยเจรจาเกี่ยวกับเรื่องมรดกกับนายกฤษณ์ และผู้ใหญ่ที่ตนเองนับถือหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สามารถพูดคุยกันได้ เพราะจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการและข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะดำเนินการเกี่ยวกับการจัดการมรดกอย่างไร นายณพ กล่าวว่า หลังจากนี้ก็ต้องให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่างการที่มารดาของตนเองระบุไว้ในพินัยกรรมอย่างชัดเจนว่า ทรัพย์สินบางส่วนมอบให้เป็นของลูกของตน
ในส่วนเรื่องที่มีข่าวว่ามีการเสนอเงิน 100 ล้านบาทเกี่ยวกับเรื่องคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทรัพย์กว่า 3 พันล้านนั้น เมื่อ 3 ปีที่แล้วตนได้ร้องเรียนอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแห่งหนึ่งต่อคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) มาจากกระบวนพิจารณาที่ไม่ตรงไปตรงมาและก่อนหน้านี้ก็มีหลักฐานว่า อธิบดีผู้พิพากษาดังกล่าวได้มีการเดินเข้าออกบ้านพี่กับน้องซึ่งเป็นคู่ความของตนจำนวนหลายครั้ง ซึ่งต่อมาตนและทนายความก็รู้สึกว่ากระบวนพิจารณาไม่ได้รับความเป็นธรรม อย่างเช่นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกินส่วน มีการอายัดหุ้นมากกว่าที่โจทก์ฟ้องซึ่งไม่มีข้อกฎหมายใดๆ รองรับก็ให้
และมีการเปลี่ยนตัวรองอธิบดีผู้พิพากษาที่โดนตนร้องคนดังกล่าวมาเป็นเจ้าของสำนวนตนเกือบทุกคดี จนเราร้องเรียนคณะกรรมการตุลาการไป จึงมีการเปลี่ยนตัวผู้พิพากษา จากนั้นจะมีการพิพากษาให้ตนชนะคดี ซึ่งขณะนี้นานมากกว่า 2 ปีแล้วแต่ปัจจุบันเงินปันผลกว่า 3.4 พันบ้านบาท ก็ยังถูกอายัดอยู่ คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวทำความเดือดร้อนให้กับตนอย่างมหาศาล เนื่องจากตนต้องดูแลธุรกิจและดูแลลูกน้องและทำให้โอกาสทำธุรกิจเสียหาย เป็นจำนวนมหาศาล คดีนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ แต่คำสั่งอายัดกลับมาจากศาลชั้นต้น ซึ่งก็มีความสับสนว่าคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นอำนาจของศาลไหนกันแน่ ซึ่งทีมกฎหมายของตนกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่
ส่วนผลการร้องเรียน ก.ต.ที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น ถ้าเป็นเรื่องของตนจริงตนก็ต้องขอขอบคุณ ก.ต. ซึ่งทราบจากทางหน้าสื่อว่า ก.ต.มีมติตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง แต่เรื่องข้อเท็จจริงนั้นตนไม่ทราบ ส่วนเรื่องที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวน 100 กิโลกรัม กรือ 100 ล้านบาทนั้น พอได้ฟังข่าวก็ตกใจเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งมาจากผลการประชุมคณะกรรมการตุลาการครั้งที่ผ่านมา ตอนนี้ก็คงต้องรอ
ส่วนเรื่องเงิน 100 ล้านบาทของใคร อยากเรียนว่า ตนเป็นผู้ร้อง เป็นผู้ได้รับความเสียหาย ตอนนี้อยากทราบว่าเงิน 100 ล้านบาทมาจากไหน มาจากใครมาจากบริษัทมหาชนหรือไม่ หรือมาจากกองมรดก เรื่องคดีนี้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง 3 คนเท่านั้นคือตน พี่ชายตน และน้องชายตน ยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนให้แน่ๆ ก็คงต้องไปถาม 2 คนนั้น เรื่องนี้ตนแค่ทราบจากสื่อ ที่ร้องเรียนไปเพียงประเด็นว่าอธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านและประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาคดี ที่ตนเชื่อว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องที่อธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านตนมีหลักฐานชัดเจน ซึ่งได้ส่งประกอบคำร้องไปด้วย ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เข้าไปให้ข้อมูลทางคณะกรรมการตุลาการหลายครั้ง
นายพิชา ป้อมค่าย ทนายความส่วนตัวของนายกฤษณ์ ณรงค์เดช ให้สัมภาษณ์สื่อ พร้อมกับนายกรณ์ ณรงค์เดช ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจนายกฤษณ์ นายพิชา ป้อมค่าย ทนายความส่วนตัวของนายกฤษณ์ ณรงค์เดช ให้สัมภาษณ์สื่อ พร้อมกับนายกรณ์ ณรงค์เดช ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจ
นายกฤษณ์ ด้าน นายพิชา ป้อมค่าย ทนายความส่วนตัวของนายกฤษณ์ เดินทางออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ พร้อมกับนายกรณ์ ณรงค์เดช ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจนายกฤษณ์ พี่ชาย โดยนายพิชา กล่าวว่า คดีในวันนี้ความจริงเป็นเรื่องในครอบครัวและมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ซึ่งที่ดินดังกล่าวเป็นที่ให้บริษัทเช่าช่วง แล้วมีเงินค่าเช่าเข้ามาสู่บัญชีของบริษัท และเข้าสู่กองมรดก ซึ่งไม่ได้จ่ายเข้าบัญชีของนายกฤษณ์ ดังนั้นเรื่องนี้จะต้องไปสู้กันในรายละเอียดที่ศาลสูงต่อไป สำหรับเรื่องที่อีกฝ่ายไปยื่นเรื่องกรรมการตุลาการ หรือ ก.ต. พวกเราไม่มีใครทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เลย
เมื่อถามถึงเรื่องคลิปที่นายณพ ระบุว่ามีอธิบดีผู้พิพากษาเข้าออกบ้านนั้น นายกรณ์ ณรงค์เดช กล่าวว่า เรื่องคลิปดังกล่าวตนได้ยินมานานแล้ว แต่ยืนยันว่าไม่มีเรื่องนี้แน่นอน และไม่เคยเห็นคลิปดังกล่าวด้วย ขอยืนยันว่าตนไม่รู้จักทั้งอธิบดีผู้พิพากษาและรองอธิบดีผู้พิพากษาที่ปรากฏในข่าวแน่นอน
นายพิชัย กล่าวเสริมว่า ในส่วนของประเด็นเงิน 100 ล้าน ตนไม่แน่ใจว่ามีการเข้าใจผิดหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องเรื่องบริษัท วินเอเนอร์จี้ เราจึงได้ใช้สิทธิตามกฎหมายขอให้ศาลมีการคุ้มครองต่อ และศาลพิจารณาแล้วว่าคำขอของเรามีมูลเพียงพอที่จะให้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวต่อไป ศาลให้เราวางเงิน 100 ล้านเป็นการวางเงินประกันความเสียหายต่อศาล และเป็นเรื่องที่เราปฏิบัติตามคำสั่งศาล ไม่ได้นำไปให้บุคคลอื่นอย่างแน่นอน ซึ่งเรามีหลักฐานที่สามารถเช็กได้อยู่ในระบบ โดยเป็นคำสั่งศาลชั้นต้นที่คุ้มครองในชั้นอุทธรณ์เนื่องจากตอนนั้นสำนวนยังไม่ส่งไปศาลอุทธรณ์
ข่าว
21 มี.ค. 2568 09:02 16 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 15:30 120 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 15:30 137 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 15:29 213 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 15:25 394 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 15:19 191 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 14:43 173 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 14:02 187 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 13:51 199 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 13:49 162 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 13:10 130 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 12:04 321 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 10:48 243 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 10:39 237 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 10:31 213 views
ข่าว
20 มี.ค. 2568 10:24 208 views