วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568
19 ก.พ. 2568 12:52 | 252 view
@pracha
"นายกฯอิ๊งค์"ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจไทย ขอแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย บอกเงินเฟ้อยังไม่มากทำได้ เร่งแก้หนี้ครัวเรือนให้จบปลายมีนาฯ ชี้การเปลี่ยนแปลงต้องมีคอมเมนต์ นี่คือประชาธิปไตย บอกปัญหาคอลเซ็นเตอร์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ต้องใช้ความร่วมมือ รับเรื่องต่างประเทศเซนซิทีฟ ต้องรอบคอบก่อนพูด
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "เชื่อมั่นประเทศไทย" ในงานสัมมนา "Matichon Leadership Forum 2025 Trust Thailand : เชื่อมั่นประเทศไทย" ที่สำนักพิมพ์มติชน จัดขึ้น โดยเมื่อมาถึงนายกฯ ได้เยี่ยมชมบูธจำหน่ายหนังสือของมติชน พร้อมอุดหนุนหนังสือ "ประชุมลับกับธงทอง" ของ นายธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี และหนังสือ "นิทานการเงิน"
จากนั้น น.ส.แพทองธาร กล่าวปาฐกถาพิเศษตอนหนึ่งว่า เป็นโอกาสอันดีที่ได้มาเล่าให้ประชาชนฟังว่า เรากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง ประเทศของเราผ่านอะไรมาบ้างและเจออะไรมาบ้าง ต่างประเทศมองเราอย่างไร และเรามีแผนอะไรต่อไปในอนาคต ตลอดปีที่ผ่านมาประเทศไทยได้เผชิญกับปัญหาและความท้าทายต่างๆ มากมาย เศรษฐกิจยังไม่มีเงินในระบบยังฝืดเคือง แต่มีสัญญานที่ดีมากในปลายปี ตัวเลขจีดีพี ปี 2567 ขยายตัวขึ้น 2.5% มากกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 2% จากปี 2566 การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเกิดผล การบริโภคภายในขยายตัว ตัวเลขนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจากมาตรการฟรีวีซ่า และความเชื่อมั่นในการดูแลนักท่องเที่ยว และในปี 2568 รัฐบาลตั้งเป้าให้จีดีพีเติบโตขึ้นที่ 3% โดยที่แรงขับเคลื่อนที่สำคัญของการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มมา คือ การใช้จ่ายของประชาชน และภาครัฐต้องขับเคลื่อนงบลงทุน แต่การนำตัวเลขเศรษฐกิจไทยเทียบกับประเทศต่างๆ ในอาเซียนว่ามีตัวเลขที่ต่ำที่สุด มองว่ายังดูปัจจัยไม่ครบทั้งภายในภายนอก เช่น ประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ของไทยไม่ได้มีการพัฒนามาหลายปี สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจหลายอย่างไม่เพียงพอ ธนาคารยังปล่อยกู้ไม่มากพอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ส่งผลให้เกิดการฝืดเคืองทางด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มเอ ที่ถือเป็น 75% ของประเทศ หากกลุ่มนี้ยังไม่มีสินเชื่อมาพัฒนา เศรษฐกิจของเขาก็จะยังไม่มีการพัฒนาและขยายตัว ก็ต้องขอความช่วยเหลือช่วยกันทุกภาค
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า งบประมาณของรัฐยังไม่เพียงพอ และจะถูกใช้ไปกับรายจ่ายประจำตนบอกทุกคนว่าให้รัดเข็มขัด ในเรื่องของงบประมาณ แต่เราต้องทำเรื่องการลงทุนควบคู่ไปด้วย ทำให้เม็ดเงินต่างๆ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นสิ่งที่ต้องจัดการให้ดี ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาในอนาคต และวันนี้เพดานกู้แทบไม่เหลือ รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศเจอปัญหาเหล่านี้ แต่พยายามหาทางออกในมุมต่างๆ ยังไม่ได้ทำการตลาดจุดแข็งของประเทศเพื่อดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ พอการลงทุนจากต่างชาติหรือเม็ดเงินจากต่างประเทศไม่เข้ามา การขยับเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น ปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลาตั้งแต่รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ก็พยายามดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามา สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เสนอการทำตลาดดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติทำให้ยอดการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นถึง 35% หรือประมาณ 1.14 ล้านๆ บาท คิดเป็น 5% ของจีดีพี เป็นสิ่งที่ขยับและเห็นผล โดยจะเร่งให้เม็ดเงินเหล่านี้เข้าสู่ระบบ รวมถึงมีมาตรการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อเอ็สเอ็มอี การดึงอุตสากรรมใหม่เข้าประเทศ การสร้างสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยวางแผนจะทำในทุกจังหวัดให้ประเทศไทยไม่มีโลซีซั่น และมาตรการเร่งด่วน รัฐบาลได้พูดคุย และอยากจะขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่มีกำไร เข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องด้วยการปล่อยกู้ให้กับคนไทยให้มีสภาพคล่องให้การพัฒนาธุรกิจของตัวเอง และอีกเรื่องคือ ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาลดดอกเบี้ย เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำได้ เพราะเงินเฟ้อยังน้อยอยู่
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลมีมาตรการแก้ปัญหาหนี้สินต่างๆ ออกมา เช่น หนี้สินครัวเรือน ที่เป็นปัญหาและอุปสรรค์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ทำโครงการ "คุณสู้เราช่วย" มุ่งช่วยเหลือหนี้สินเชื่อบ้าน รถยนต์ และธุรกิจเอสเอ็มอี ตัวเลขสำหรับการแก้หนี้ครัวเรือนและผู้ประกอบการรายย่อยตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา มีการยกหนี้รายย่อยไปแล้วกว่า 8.3 แสนบัญชี ทำให้ลูกหนี้กลุ่มนี้หลุดออกจากการติดเครดิตบูโรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนอีกครั้ง ตนก็สานต่อเรื่องนี้มีกลุ่มลูกหนี้ค้างอยู่ 2.6 แสนบัญชี จะทำให้จบในวันที่ 15 มี.ค.นี้ และยังขอให้กระทรวงการคลังหารือกับแบงค์ชาติพัฒนาโครงการคุณสู้เราช่วย ให้ครอบคลุมถึงกลุ่มลูกหนี้เข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งมาตรการน่าจะออกมาปลายเดือน มี.ค.นี้
นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ รัฐบาลจะผลักดันโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมโยงฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน เพื่อจุดประสงค์ในการลดระยะเวลาการขนส่งสินค้า และจากการที่ตนไปเยือนจีนมา เขาได้สนับสนุนในเรื่องนี้ เขาขอข้อมูลเพิ่มเติม และสนใจเรื่องการลงทุนด้วย นี่เป็นสิ่งที่เราต้องทำต่อ นี่ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่จีนให้ความสนใจ ซึ่งการขนส่งแลนด์บริดจ์ถ้าเกิดขึ้นแล้วจะทำให้ประหยัดเวลาการขนส่ง เช่น ขนส่งผลไม้จะลดระยะเวลา 4 วัน จะทำให้ส่งผลไม้ได้มากและสดใหม่ขึ้น ซึ่งเราคิดตัวเลขแล้วสามารถประหยัดต้นทุนได้ถึง 15%
นายกฯ กล่าวอีกว่า จากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ที่ จ.สงขลา ยังมีคำถามว่า เราจะสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์อย่างไร และมีคนมาต่อต้าน อันนี้ไม่แปลก เมื่อประเทศของเราจะมีการเปลี่ยนแปลง มีการเพิ่มเติม จะต้องมีคนมาคอมเมนต์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย นั่นคือระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว รัฐบาลตระหนักถึงข้อนี้ดีและพร้อมรับฟังทุกคน และต้องการมีเวลาอธิบายว่าทำไมโครงการใหญ่ๆ อย่างนี้ถึงต้องการสนับสนุนต่อ บางเรื่องรัฐบาลไม่อยากมองเป็นภาพเล็ก หรือแก้ปัญหาได้ภายใน 1 ปี หรือปัญหานี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วแค่ปีนี้ แต่ปีหน้าจะเกิดขึ้นใหม่ เราไม่อยากมองปัญหาระยะสั้นอย่างนั้น
นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ เรายังส่งเสริมการลงทุนของคนไทยให้ไปต่างประเทศ โดยพยายามทำ FTA กับทุกประเทศในยุโรป
นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อันนี้เป็นปัญหาที่ฟังดูแล้วยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประชาชนที่ถูกหลอกหมดตัว บางคนถึงขั้นจบชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเห็นว่าไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป และจากที่รัฐบาลมีการตัดไฟ และการขนส่งน้ำมันไปยังเมียนมา เรื่องนี้ได้รับคำชมจาก นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประโยคแรกเลยว่ารัฐบาลจัดการได้เด็ดขาด และทางจีนพร้อมให้ความร่วมมือเข้ามาช่วยเหลือเรื่องนี้ต่ออย่างจริงจังและเป็นรูปแบบ ซึ่งดีมากที่เราสามารถช่วยกันในเรื่องนี้ได้ โดยตอนที่เราตัดไฟไปมีตัวเลขออกมาที่เป็นผลจากการกดดันของรัฐบาลไทย ทำให้ทางฝั่งเมียนมาปล่อยตัวส่งคืนเหยื่อที่ไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 300 กว่าคน แต่ก็ยังมีอีกประมาณ 7,000 คน ที่รอการปล่อยตัว ซึ่งตอนนี้กำลังคุยกันอยู่ระหว่างประเทศ โดยมีรายงานว่าใช้ไฟฟ้าลดลง 40% นี่ถือเป็นความสำเร็จอย่างมาก
นายกฯ กล่าวว่า นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ออก พระราชกำหนดมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางออนไลน์และเทคโนโลยี โดยกฎหมายนี้จะให้บริษัทโทรคมนาคม และธนาคารพาณิชย์ ร่วมกันรับผิดชอบแก่ผู้เสียหายด้วย เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เราทำงานร่วมกัน ไม่อย่างนั้นรัฐบาลออกกฎมาอย่างเดียวก็ไม่ได้ และคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เห็นผลเร็วๆ นี้ ทำให้การจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นไปได้อย่างประสิทธิภาพมากขึ้น ท้ายที่สุดตนอยากย้ำในเรื่องความเชื่อมั่นของประเทศไทย แน่นอนว่ารัฐบาลเต็มที่ เพื่อให้ประเทศไทยเกิดความเชื่อมั่นของทั้งต่างประเทศและคนในประเทศ ซึ่งความเชื่อมั่นทั้งหมดนั้นไม่ได้มาจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว แต่มาจากความร่วมมือทุกภาคส่วน ขอเพิ่มเติมว่าการที่เราสามารถติดต่อกับต่างประเทศ ความร่วมมือเรื่องคอลเซ็นเตอร์ เป็นเรื่องของรัฐบาลกับรัฐบาลด้วยกันติดต่อประสานงานกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละอ่อนไหว เราไม่สามารถผิดขั้นตอนข้อตกลงระหว่างประเทศ (โปรโตคอล) เช่น บางทีตนโดนถามเรื่องต่างประเทศ ก็ยังไม่สามารถตอบได้ทันที เพราะว่าสิ่งที่เป็นโปรโตคอล เขาจะนับว่าตัวนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ ไม่ว่าจะพูดอะไร สัมภาษณ์ที่ไหน สิ่งนั้นจะถือเป็นสิ่งที่ใช่แล้วตกลงแล้ว เพราะฉะนั้นบางเรื่องที่เกี่ยวกับต่างประเทศ ตนยังต้องปรึกษา รมว.การต่างประเทศ ว่าเรื่องดังกล่าวสามารถพูดได้หรือไม่ ละเอียดอ่อนมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้สามารถเปิดเผยระหว่างประเทศได้หรือยัง นี่คือสิ่งที่จำเป็น
นายกฯ กล่าวว่า เรื่องคอลเซ็นเตอร์เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลกับรัฐบาลต้องร่วมมือกันให้เกิดผลอย่างมีประสิทธิภาพที่ดีกับทั้งสองประเทศ ฉะนั้น ความเชื่อมั่นเหล่านี้ไม่ได้เกิดแค่จากฝั่งรัฐบาล ต้องเกิดจากภาคเอกชนและประชาชนด้วย ถ้าทุกคนร่วมมือกัน เราก็จะมีประเทศที่พัฒนาด้านเศรษฐกิจ และมีสังคมที่ปลอดภัยในอนาคต และตนจะเดินหน้าการเดินสายต่อดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามา อย่างไรก็ตาม จีดีพีของประเทศ หรือความเป็นอยู่ของประชาชน ก็ต้องค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับอย่างแน่นอน ขอให้ทุกคนมีความเชื่อมั่น มีกำลังใจว่ารัฐบาลเห็นทุกปัญหาของทุกพื้นที่ และพร้อมสนับสนุนประชาชนและภาคเอกชนอย่างเต็มที่
ข่าว
21 ก.พ. 2568 10:39 7 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 10:36 11 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 10:33 18 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 10:33 4 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 09:45 41 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 09:41 53 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 09:37 30 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 09:35 11 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 09:20 19 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 09:15 10 views
ข่าว
21 ก.พ. 2568 09:10 33 views
ข่าว
20 ก.พ. 2568 16:37 157 views
ข่าว
20 ก.พ. 2568 14:25 176 views
ข่าว
20 ก.พ. 2568 14:14 143 views
ข่าว
20 ก.พ. 2568 13:53 125 views
ข่าว
20 ก.พ. 2568 13:06 151 views