จับตา ที่ประชุม ‘นบข.’ 8 พ.ย. ขยับราคาขั้นต่ำปล่อยสินเชื่ออีก 1,500 บาท/ตัน เป็น 1.3 หมื่นบาท

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน แหล่งข่าวจากศูนย์ข้าวชุมชน เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ ศูนย์ข้าวชุมชน จะเสนอให้พิจารณาปรับราคาขั้นต่ำการให้สินเชื่อ ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปล่อยสินเชื่อให้กับเกษตรกรปลูกข้าว เป็น 13,500 บาทต่อตัน จากปีก่อนหน้ากำหนดราคาขั้นต่ำไม่เกิน 12,000 บาทต่อตัน เพื่อเป็นการส่งสัญญาณต่อราคาข้าวไทยในตลาดโลก และประคองให้ราคาข้าวหอมมะลิไทยเพื่อส่งออกให้คงระดับไม่ต่ำกว่า 850 เหรียญสหรัฐต่อตัน สกัดการถูกกดราคารับซื้อและกดราคาส่งออกช่วงต้นฤดูเก็บเกี่ยว

ทั้งนี้ มาตรการชะลอข้าวในยุ้งฉางเพื่อพยุงราคาข้าว ในครั้งก่อน มีการอนุมัติการให้สินเชื่อกับชาวนาคิดจากราคาเป้าหมายภาครัฐตั้งไว้ 15,000 บาทต่อตัน โดย ธ.ก.ส.จะคิดการปล่อยสินเชื่อในสัดส่วน 80% ก็จะเท่ากับได้สินเชื่อตันละ 12,000 บาท หากเพิ่มสัดส่วนเป็น 90% จะเท่ากับได้สินเชื่อ 13,500 บาท ซึ่งหากคงเป้าหมาย 3 ล้านตันหรือประมาณ 40% ของผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลิที่จะออกสู่ตลาดในแต่ละปีประมาณ 7-8 ล้านตัน โดยการปรับราคาขั้นต่ำปล่อยสินเชื่อ จะเป็นผลดีต่อราคาข้าวหอมมะลิทั้งระบบด้วย

“เทียบราคาขั้นต่ำ 12,000 บาท บนเป้าหมายปล่อยสินเชื่อ 3 ล้านตัน ธ.ก.ส.ใช้งบสินเชื่อ 3.6 หมื่นล้านบาท คิดดอกเบี้ยที่ 4% ที่รัฐช่วยกึ่งหนึ่ง ก็จะใช้งบ 700 ล้านบาท หากปรับเป็น 13,500 บาท ปริมาณเป้าเท่าเดิม จะใช้งบ 4.5 หมื่นล้านบาท และดอกเบี้ยอัตราเดิม ก็จะใช้งบ 800 ล้านบาท เท่ากับรัฐเพิ่มงบอีก 100 ล้านบาท แต่รัฐสามารถพยุงราคาข้าวทั้งตลาด และจากสถิติที่ผ่านมา ราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้จากการชะลอขาย จะได้ใกล้เคียง 13,500 บาท รัฐก็ไม่ได้เสี่ยงมาก ชาวนาส่วนใหญ่ก็ขายได้ราคาดี ” แหล่งข่าวกล่าว

นายวิชัย ศรีนวกุล นายกสมาคมโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเจ้าของโรงสีเจริญผล เปิดเผยถึงสถานการณ์เพาะปลูกข้าวหอมมะลิฤดูกาลผลิตนาปี 2567/68 ว่า ขณะที่การเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกหอมมะลิ กข15 เริ่มหมดแล้ว และราคารับซื้อยังสูงเฉลี่ยเกิน 16,000-16,500 บาทต่อตัน และเริ่มมีการเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกหอมมะลิ105 โดยช่วยวันที่ 10-30 พฤศจิกายนนี้ เป็นช่วงที่มีการเก็บเกี่ยวในสัดส่วนมากสุด ซึ่งขณะนี้ราคายังเฉลี่ย 16,000 บาทต่อตัน และราคาจะไม่ผันผวนมากไปกว่านี้ หากคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.)ที่จะประชุม ในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้ จะมีการอนุมัติมาตรการช่วยเหลือและพยุงราคาตลาดข้าวไทย ในช่วงผลผลิตข้าวเปลือกออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเห็นด้วยที่จะมีจะคงใช้มาตรการสนับสนุนการเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง โดยการชดเชยค่าใช้จ่ายให้กับชาวนาหรือสหกรณ์เพื่อการเก็บข้าว เป็นการชะลอการระบายข้าวออกสู่ตลาดพร้อมกัน จนกระทบต่อราคาข้าวอีกครั้ง

นายวิชัย กล่าวว่า สมาคมฯยังคาดการณ์ผลผลิตข้าวเปลือกหอมมะลินาปี 2567/68 เพิ่มจากปีก่อนเล็กน้อย หรือประมาณกว่า 7 ล้านตันข้าวเปลือก โดยประเมินจาก 3 ด้าน คือ 1. ปริมาณฝนในภาคอีสาน เป็นการตกแบบกระจายตัวและปริมาณน้ำฝนมากในบริเวณหลังเขื่อน จนทำให้น้ำในเขื่อนอย่างลำตะคอง มีปริมาณน้อยแค่ 30% ถือว่าน่าวิตกต่อการเพาะปลูกในรอบต่อไป อีกทั้งบางพื้นที่เพาะปลูกเจอปัญหาขาดปุ๋ยบำรุง จากการขาดสภาพคล่อง ทำให้ผลผลิตไม่ได้มาก 2. พื้นที่ปลูกข้าวถูกปรับเปลี่ยนไปปลูกอ้อย แทน จึงมีผลต่อพื้นที่ปลูกข้าวหายไปบางส่วน 3. เกษตรกรบางส่วนปรับช่วงการเพาะปลูก และหันมาปลูกแบบนาปรังแทน หรือ ปลูกแบบเหลื่่อมเวลาจากในอดีต โดยเลื่อนปลูกเพื่อเก็บเกี่ยวเดือนสิงหาคม-กันยายน ก่อนเริ่มปลูกรอบใหม่เดือนพฤศจิกายนและเก็บเกี่ยวเดือนมีนาคมปีถัดไป เนื่องจากช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ราคาข้าวอยู่ในระดับดี และส่งออกไทยสูงขึ้น จากอินเดียออกมาตรการห้ามส่งออก