วันพุธที่ 2 เมษายน 2568
25 ต.ค. 2567 14:33 | 76 view
@thanthai
มะเร็งช่องปากเป็นโรคที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยชนิดของมะเร็งช่องปากที่พบได้บ่อยที่สุด คือ มะเร็ง Squamous cell carcinoma ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 96 ของมะเร็งในช่องปาก และอีกร้อยละ 4 เป็นมะเร็งชนิดเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มะเร็งช่องปากมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป โดยตำแหน่งที่พบได้บ่อยคือ ตำแหน่งด้านใต้ขอบข้างของลิ้น
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ลักษณะอาการแสดงที่สำคัญของมะเร็งช่องปาก มีได้หลายลักษณะ ดังนี้ แผลในช่องปากที่มีรอยโรคสีแดง (Erythroplakia) สีขาว (Leukoplakia) หรือสีขาวแดง (Erythroleukoplakia) ขอบของรอยโรคมีลักษณะแข็ง แผลเป็นก้อน หรือ รอยโรคคล้ายแผลร้อนใน แต่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ แผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นก้อนบวมโต อาจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนมีก้อนติดอยู่ที่คอ กลืน หรือเคี้ยวอาหารลำบาก อาจมีอาการชา เจ็บปวด หรือเลือดไหลได้โดยไม่ทราบสาเหตุ กรณีที่ลุกลามไปที่กระดูกและกล้ามเนื้อ รอยโรคจะยึดติดกับอวัยวะข้างใต้ อาจพบต่อมน้ำเหลืองโต
.
ทันตแพทย์หญิง ดร.สุมนา โพธ์ศรีทอง ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การตรวจคัดกรองผู้ป่วย อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับลักษณะของผู้ป่วย โดยสามารถแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่1 ผู้ป่วยที่ไม่มีรอยโรค อายุน้อยกว่า 40 ปี และไม่มีพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปาก ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 1 ปี กลุ่มที่2 ผู้ป่วยที่ไม่มีรอยโรค อายุ 40 ปีขึ้นไป และหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นประจำ มีประวัติติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV (Human papilloma virus) ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 6 เดือน และกลุ่มที่3 ผู้ป่วยที่มีรอยโรคสีแดง และหรือสีขาว มีแผลเรื้อรังที่คงอยู่หลังกำจัดสาเหตุการเกิดแผลแล้วเป็นเวลามากกว่า 2 อาทิตย์ ควรได้รับการตัดชิ้นเนื้อตรวจ หากผลตรวจชิ้นเนื้อแสดงผลว่าไม่มีความผิดปกติ ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 3 เดือน
.
ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงวิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างชัดเจน แต่ผู้ป่วยสามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปากได้ โดยมีแนวทางการป้องกันคือการลดปัจจัยเสี่ยง เช่น การไม่สูบบุหรี่ เคี้ยวยาสูบ กินหมาก ดื่มแอลกอฮอลล์ การทำความสะอาดช่องปากให้มีสุขอนามัยที่ดี หากมีการสวมใส่ฟันปลอมควรเป็นฟันปลอมที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรังในช่องปาก หมั่นตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6 เดือน หากมีความผิดปกติใดๆ สามารถพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจได้ที่สถาบันทันตกรรม โรงพยาบาล หรือคลินิกทันตกรรมใกล้บ้าน
Cr.thaihealth
ข่าว
1 เม.ย. 2568 16:20 191 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 16:16 151 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 16:13 156 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 14:32 178 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 14:23 235 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 14:23 146 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 14:05 149 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 13:51 283 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 13:34 169 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 13:31 158 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 13:18 119 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 13:17 152 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 12:54 175 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 12:34 179 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 12:19 227 views
ข่าว
1 เม.ย. 2568 12:01 183 views