วันพุธที่ 25 ธันวาคม 2567
25 ต.ค. 2567 14:33 | 8 view
@thanthai
มะเร็งช่องปากเป็นโรคที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยชนิดของมะเร็งช่องปากที่พบได้บ่อยที่สุด คือ มะเร็ง Squamous cell carcinoma ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 96 ของมะเร็งในช่องปาก และอีกร้อยละ 4 เป็นมะเร็งชนิดเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน มะเร็งช่องปากมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป โดยตำแหน่งที่พบได้บ่อยคือ ตำแหน่งด้านใต้ขอบข้างของลิ้น
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ลักษณะอาการแสดงที่สำคัญของมะเร็งช่องปาก มีได้หลายลักษณะ ดังนี้ แผลในช่องปากที่มีรอยโรคสีแดง (Erythroplakia) สีขาว (Leukoplakia) หรือสีขาวแดง (Erythroleukoplakia) ขอบของรอยโรคมีลักษณะแข็ง แผลเป็นก้อน หรือ รอยโรคคล้ายแผลร้อนใน แต่ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ แผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นก้อนบวมโต อาจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเหมือนมีก้อนติดอยู่ที่คอ กลืน หรือเคี้ยวอาหารลำบาก อาจมีอาการชา เจ็บปวด หรือเลือดไหลได้โดยไม่ทราบสาเหตุ กรณีที่ลุกลามไปที่กระดูกและกล้ามเนื้อ รอยโรคจะยึดติดกับอวัยวะข้างใต้ อาจพบต่อมน้ำเหลืองโต
.
ทันตแพทย์หญิง ดร.สุมนา โพธ์ศรีทอง ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การตรวจคัดกรองผู้ป่วย อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นกับลักษณะของผู้ป่วย โดยสามารถแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่1 ผู้ป่วยที่ไม่มีรอยโรค อายุน้อยกว่า 40 ปี และไม่มีพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปาก ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 1 ปี กลุ่มที่2 ผู้ป่วยที่ไม่มีรอยโรค อายุ 40 ปีขึ้นไป และหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ เคี้ยวหมาก ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นประจำ มีประวัติติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV (Human papilloma virus) ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 6 เดือน และกลุ่มที่3 ผู้ป่วยที่มีรอยโรคสีแดง และหรือสีขาว มีแผลเรื้อรังที่คงอยู่หลังกำจัดสาเหตุการเกิดแผลแล้วเป็นเวลามากกว่า 2 อาทิตย์ ควรได้รับการตัดชิ้นเนื้อตรวจ หากผลตรวจชิ้นเนื้อแสดงผลว่าไม่มีความผิดปกติ ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งช่องปากทุก 3 เดือน
.
ปัจจุบันยังไม่ทราบถึงวิธีการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างชัดเจน แต่ผู้ป่วยสามารถลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งช่องปากได้ โดยมีแนวทางการป้องกันคือการลดปัจจัยเสี่ยง เช่น การไม่สูบบุหรี่ เคี้ยวยาสูบ กินหมาก ดื่มแอลกอฮอลล์ การทำความสะอาดช่องปากให้มีสุขอนามัยที่ดี หากมีการสวมใส่ฟันปลอมควรเป็นฟันปลอมที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองเรื้อรังในช่องปาก หมั่นตรวจสุขภาพช่องปากและฟันทุก 6 เดือน หากมีความผิดปกติใดๆ สามารถพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจได้ที่สถาบันทันตกรรม โรงพยาบาล หรือคลินิกทันตกรรมใกล้บ้าน
Cr.thaihealth
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 18:32 89 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 18:29 105 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 16:02 98 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 15:22 123 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 14:50 97 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 14:32 131 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 14:19 141 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 13:31 166 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 13:25 121 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 11:34 133 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 11:25 190 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 10:48 162 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 10:45 136 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 10:42 137 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 10:40 147 views
ข่าว
25 ธ.ค. 2567 09:47 156 views