วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2567
22 ต.ค. 2567 16:13 | 1282 view
@juthamas
ยา Flunarizine เป็นตัวช่วยที่หลายคนพึ่งพาเมื่อเจออาการไมเกรนรุนแรงหรืออาการเวียนหัวบ่อยๆ แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจ! ยานี้อาจแฝงผลข้างเคียงที่ร้ายแรง หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคพาร์กินสัน และในบางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะพิการถาวรได้
Flunarizine คืออะไร?
Flunarizine เป็นยากลุ่มที่ใช้เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการไมเกรนและเวียนหัวจากความผิดปกติของการทำงานของสมอง ยานี้ทำงานโดยการขยายหลอดเลือดในสมอง ลดการหดตัวของเส้นเลือด และควบคุมการทำงานของสารเคมีในสมองที่ทำให้เกิดไมเกรน ช่วยลดความถี่ในการเกิดไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าการใช้ยานี้จะมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการไมเกรนได้ดี แต่ผลการใช้ในระยะยาวอาจนำไปสู่การเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคพาร์กินสัน
โรคพาร์กินสันคืออะไร?
โรคพาร์กินสัน (Parkinson's Disease) เป็นโรคเกี่ยวกับการเสื่อมของระบบประสาท ส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย อาการหลักของโรคนี้คือการสั่น (Tremor) การเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า (Bradykinesia) และการทรงตัวไม่ดี (Postural Instability) โดยการเสื่อมของเซลล์สมองในส่วนที่ผลิตสารโดพามีนเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งโดพามีนเป็นสารเคมีที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวและอารมณ์ของเรา เมื่อปริมาณสารนี้ลดลง ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคพาร์กินสัน
ผลข้างเคียงจากการใช้ Flunarizine
การใช้ Flunarizine ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน เพราะยานี้มีผลกระทบต่อสารเคมีในสมองที่มีบทบาทในการควบคุมการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่ใช้ยานี้เป็นเวลานานมักมีอาการเคลื่อนไหวช้า มือสั่น และมีปัญหาการทรงตัวคล้ายกับอาการของโรคพาร์กินสัน
งานวิจัยจากไต้หวัน
มีงานวิจัยที่ศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาฟลูนาริซีนและซินนาริซีน (Cinnarizine) พบว่าผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ต่อเนื่องมากกว่า 1 เดือน มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรคพาร์กินสันมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยา โดยมีอัตราการเกิดอาการสั่นและเคลื่อนไหวช้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัย
1. ควรใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ ไม่ควรใช้ยานี้ตามใจชอบ หลีกเลี่ยงการเพิ่มหรือลดปริมาณยาเอง และหมั่นปรึกษาแพทย์ถึงระยะเวลาที่ควรใช้ยาให้เหมาะสม
2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาติดต่อกันนานเกินไป ควรหยุดพักยาหรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกอื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว
3. หมั่นสังเกตอาการของร่างกาย หากพบว่าเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น มือสั่น การเคลื่อนไหวช้าลง หรือมีปัญหาในการทรงตัว ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคพาร์กินสัน
ลดอาการไมเกรนด้วยทางเลือกธรรมชาติ
นอกจากการใช้ยาแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อบรรเทาไมเกรนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เช่น การออกกำลังกายเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การนอนหลับให้เพียงพอ และการผ่อนคลายความเครียดผ่านการทำสมาธิ
อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม เช่น อะโวคาโด ผักโขม เมล็ดฟักทอง และถั่ว ก็ช่วยลดความถี่ของการเกิดไมเกรนได้ค่ะ เพราะแมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
การดูแลตนเองเพื่อป้องกันอาการไมเกรนที่มากเกินไป รวมถึงการใช้ยาที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า จะเป็นการลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่อันตรายได้ในระยะยาว
ข่าว
21 พ.ย. 2567 16:08 30 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 14:38 53 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 14:23 41 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 13:26 58 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 13:24 63 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 13:20 36 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 12:40 79 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 12:17 65 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 11:57 71 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 11:54 59 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 11:45 94 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 10:56 92 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 10:54 115 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 10:33 86 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 10:26 93 views
ข่าว
21 พ.ย. 2567 09:57 86 views