ธ.โลกชี้ปี’68ศก.ไทยโต3% อานิสงส์การบริโภค-ลงทุนฟื้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารโลก (World Bank) ยังคงคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปี 2567 จะอยู่ที่ 2.4% เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.9% ในปี 2566 โดยการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกโดยได้รับการสนับสนุนจากการเร่งดำเนินการงบประมาณและการส่งออกสินค้า การท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชน ที่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในปีนี้ โดยด้านการท่องเที่ยว จะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดได้ในกลางปี 2568 ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของดอลลาร์สหรัฐปีนี้ จะเติบโต 2.4% เนื่องจากการค้าโลกที่เอื้ออำนวยแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัว ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) จะชะลอตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ 0.7% ซึ่งต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ ธนาคารโลก ยังคาดว่าในปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวขึ้นเป็น 3.0% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนที่ฟื้นตัว โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน ก.ค. 2567 ธนาคารโลกได้ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.4% ส่วนปี’68ขยายตัวได้ 2.8%

ขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้เตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเป็นแพ็กเกจในช่วง 6 เดือนจากนี้ไป แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ในขณะนี้ ต้องรอให้มีการประชุมก่อน ส่วนเรื่องโครงการคนละครึ่ง รัฐบาลจะดำเนินต่อหรือไม่นั้น รัฐบาลก็รับฟังหมด ยังไม่มีข้อสรุป

“ส่วนที่ในอดีตเคยวิพากษ์วิจารณ์โครงการคนละครึ่งในสมัยที่เป็นฝ่ายค้าน ถ้าหากมาทำเองจะเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่นั้น ก็ต้องบอกว่าคงไม่ เพราะสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจมีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และรูปแบบการทำอาจจะเหมือนหรือต่างกันก็ยังไม่มีใครทราบ สุดท้ายก็ต้องดูสิ่งที่ดูประโยชน์สูงสุด รัฐบาลนี้คงไม่เอาเรื่องศักดิ์ศรี หรือใครคิดทำก่อนทำหลัง แต่ขอให้เป็นมาตรการที่ออกมาเป็นประโยชน์กับประชาชน เราก็ยินดี ซึ่งก็กำลังคุยกันอยู่ ยังไม่มีข้อสรุปว่า ทำหรือไม่ทำ” นายจุลพันธ์กล่าว

ส่วนการเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขณะนี้ธนาคารที่อยู่ในกำกับกระทรวงการคลังได้ออกมาตรการสินเชื่อที่มาช่วยเหลือหลายมาตรการแล้ว และกำลังรวบรวมและดูว่าจำเป็นต้องออกมาตรการเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งได้มีการพูดคุยกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ว่า กระทรวงการคลังอาจมีการจัดงานคลังสัญจร หรือไปจัดงานมหกรรมในพื้นที่ที่เกิดความเสียหาย เช่น แม่สาย จ.เชียงใหม่ เพื่อต้องเข้าไปฟื้นฟูในพื้นที่เศรษฐกิจที่เกิดความเสียหาย ด้วยการเข้าไปประคับประคองช่วยประชาชนและเอสเอ็มอีให้กลับมายืนได้อีกครั้ง รวมทั้งมีการพูดคุยเรื่องมาตรการระยะสั้นในการช่วยสนับสนุนโดยเฉพาะพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย ว่าจะออกมาตรการระยะสั้น ให้คนไปจับจ่ายใช้สอยและเข้าไปท่องเที่ยวในพื้นที่นั้นๆ

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในรายงาน Asian Development Outlook ฉบับเดือนกันยายน 2567 มาอยู่ที่ 2.3% ในปี 2567 จากที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดินเมษายนที่ 2.6% และมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ลงจาก 3% มาอยู่ที่ 2.7% โดยคาดว่าภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะยังคงเป็นแรงสนับสนุนหลักต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะชะลอลงระยะในระยะถัดไปจากภาวะการเงินที่ตึงตัวและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน การส่งออกสินค้าฟื้นตัวได้ช้าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคและการลงทุนภาครัฐและเอกชนยังคงอยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังคงมีความกังวลด้านต้นทุนการผลิตและการขนส่งที่ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่กำลังจะออกมานั้นคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้างในระยะสั้น

นอกจากนี้ ADB ระบุว่ายังคงมีหลายปัจจัยที่ยังคงจะต้องติดตามในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิดคือ ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง หนี้ SME โดยเฉพาะธุรกิจที่เปราะบาง ปัญหาสภาพอากาศที่แปรปรวน รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและแผนการลงทุนของภาครัฐ ในส่วนของเสถียรภาพทางด้านราคานนั้น ADB คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของประเทศจะยังคงอยู่ในระดับต่ำที่ 0.7% ในปีนี้และ 1.3% ในปีหน้า จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวได้ช้า และภาครัฐยังคงดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยบรรเทาค่าครองชีพของประชาชน