พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยัน ไม่มีเอี่ยวเว็บพนันมินนี่   พร้อมแจ้งความ 2 พล.ต.อ.-สื่ออาวุโส เสนอข่าวบิดเบือน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ  แถลงข่าว ชี้แจงผ่านสื่อมวลชน กรณีตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่พบความเชื่อมโยงไปยังกลุ่มบัญชีม้าเครือข่ายเว็บพนันมินนี่ ซึ่งพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ  หรือ ปปป.   ได้ร้องทุกข์ต่อ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ สำนักงาน ป.ป.ช.  ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และมาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินฯ  

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า เรื่องนี้   เริ่มจากที่มีตำรวจมาตรวจค้นบ้านของตนเอง   โดยปกปิดข้อเท็จจริงในชั้นศาล เนื่องจากไม่ระบุในหมายค้นว่าเป็นบ้านของข้าราชการตำรวจระดับสูง  มีเพียงบ้านเลขที่เท่านั้น  ซึ่งศาลต้องตรวจสอบก่อนไม่ใช่ออกหมายค้นง่ายๆ และการออกหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้กับลูกน้องตนในคดีมินนี่ทั้ง 8 นาย  ใช้คำนำหน้าว่า “นาย” ประกอบอาชีพรับจ้าง  

ทั้งที่หากเป็นข้าราชการจะต้องขอหมายจากศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเท่านั้น หมายความว่า เจ้าหน้าที่เกรงว่า  หากศาลทราบว่าผู้ต้องหาในคดีเป็นตำรวจ อาจจะออกเพียงหมายเรียกแทน  เพราะมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง  ฉะนั้นปฏิบัติการครั้งนั้นจึงมีพิรุธไม่ตรงไปตรงมา

ซึ่งการเข้าตรวจค้นบ้านครั้งนั้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่พบความเชื่อมโยงทางการเงินที่หนึ่งในลูกน้องของตนถูกดำเนินคดีเป็นผู้ทำธุรกรรมให้ด้วยบัญชีม้า  ซึ่งตนไม่ทราบทุกเรื่องที่ลูกน้องทำ   ตนยินดีให้ตรวจสอบว่าร่ำรวยผิดปกติหรือไม่  โดยยืนยันว่าไม่มีเส้นทางการเงินจากเว็บพนันใดที่เข้าและออกจากตน มีแต่ที่ไปจับกุมเท่านั้น ส่วนที่มีการระบุว่า เส้นเงินอาจเกี่ยวเนื่องไปถึงญาติใกล้ชิด ก็ยินดีให้เชิญมาสอบปากคำได้

“ผมไม่มีเส้นทางการเงินจากบัญชีม้าเชื่อมโยงไปถึงผมแม้แต่เส้นเดียว แต่หากลูกน้องกระทำผิด ก็ต้องตรวจสอบและให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย กรณีที่ตำรวจจะเรียกแม่ผมมาสอบปากคำเพิ่มเติมก็ยินดี  เพราะเรื่องทรัพย์สินนั้น ผมชี้แจงได้หมดไม่มีการเลี่ยงภาษี และผมยื่นบัญชีทรัพย์สินให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบแล้วทุกปี   ยืนยันว่าไม่เคยประสานไปยังผู้ใหญ่เพื่อให้เคลียร์เรื่องนี้  ที่เห็นผมไปอยู่ใกล้ๆ บ้านพักในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 (บ้านจันทร์ส่องหล้า) วานนี้ เพราะต้องไปดูแลงานด้านความมั่นคงเท่านั้น ไม่ได้เข้าไปในบ้าน  ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไร” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว

 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงขั้นตอนทางคดี  ว่า เมื่อส่งสำนวนให้อัยการสั่งฟ้องลูกน้องทั้ง 8 นายนั้น  ก็ยังไม่มีชื่อของตน  กระทั่งสัปดาห์ที่ผ่านมาทราบจากสื่อว่ามีรายชื่อปรากฎในคดีให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา  ซึ่งตนไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด    ขณะที่ สำนวนคดีนี้  ส่งไปยัง สำนักงาน ป.ป.ช.  ตั้งแต่ปีก่อนแล้ว เนื่องจากเป็นหน่วยงานตรวจสอบการทุจริตโดยตรงด้วยระบบไต่สวน   กรณีที่มีการพูดถึงคดี ว่าอยากให้ ป.ป.ช.ส่งคดีกลับมาให้ตำรวจรับผิดชอบนั้น ตนมองว่าเป็นการกดดัน  ไม่เชื่อมั่นในระบบไต่สวนของ ป.ป.ช.หรือไม่  ซึ่งระบบการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่เป็นหน่วยงานตรวจสอบทุจริตโดยตรง มีความรอบคอบรัดกุมมากกว่าระบบกล่าวหาของตำรวจ

อีกทั้งตามระเบียบแล้วก็ต้องยึดสำนวนที่ ป.ป.ช.ไต่สวนเป็นหลัก ไม่มีระเบียบที่กำหนดว่าให้ยึดสำนวนของตำรวจเป็นหลัก และการดำเนินคดีที่มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 300 ล้านบาทก็เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสำนวนจะดำเนินการโดยหน่วยงานใดตนเองก็ไม่ขัดข้อง ขอเพียงแต่ขอให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการ พร้อมขอเตือนให้เจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ทำคดีด้วยความระมัดระวัง ตรวจสอบว่ามีอำนาจในการดำเนินการหรือไม่

 โดยคดีนี้  เมื่อส่งไปยัง ป.ป.ช.จะต้องไต่สวนก่อนว่ามีมูลหรือไม่  ดังนั้นขณะนี้ตนยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาเกิดขึ้น  ต้องมีกระบวนการพิจารณาว่ามีมูลหรือไม่ โดยจะต้องแสวงหาพยานหลักฐาน และไต่สวน หากมีมูลจึงจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการชี้มูลความผิด พร้อมขอให้สื่อแก้ไขให้ถูกต้องมิฉะนั้นจะดำเนินการตามกฎหมาย

วันนี้ ลูกน้องของตนได้ยื่นฟ้อง นายตำรวจระดับ พลตำรวจเอก  2 นาย รวมกับที่เคยฟ้องร้องพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้กว่า 200 นาย กรณีออกหมายค้นหมายจับโดยปกปิดข้อเท็จจริง พร้อมกับฟ้องร้องสื่ออาวุโส จากการเสนอข่าวบิดเบือนว่าตนเองมีความสนิทสนมกับกรรมการ ป.ป.ช.ท่านหนึ่ง

ขณะเดียวกันมีรายงานว่าวันนี้  พลตำรวจเอกวรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้เดินทางไปที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก แต่ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามตอบเพียงว่า มาเยี่ยมอธิบดีเท่านั้น