"สหรัฐฯ"ใช้อำนาจ"วีโต้" ตีตกข้อเสนอเพื่อมนุษยธรรมของ"บราซิล" อ้างไม่เอ่ยถึงสิทธิป้องกันตนเองของ"อิสราเอล"

เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2566 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอข่าว US vetoes UN Security Council action on Israel, Gaza ระบุว่า ในการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2566 สหรัฐอเมริกา ใช้อำนาจพิเศษ “วีโต้ (Veto)” ในฐานะ 1 ใน 5 ชาติสมาชิกถาวรของ UNSC ตีตกร่างข้อเสนอที่บราซิลยื่นเพื่อเรียกร้องให้มีการระงับชั่วคราวเพื่อมนุษยธรรม โดยที่ประชุมที่ประกอบด้วยสมาชิก 15 ประเทศ มี 12 ชาติที่ลงมติเห็นชอบ ขณะที่รัสเซียและอังกฤษงดออกเสียง

การลงมติร่างข้อเสนอของบราซิลถูกเลื่อนออกไป 2 ครั้งในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เนื่องจากสหรัฐฯ พยายามเป็นตัวกลางให้ความช่วยเหลือในการเข้าถึงฉนวนกาซา โดย ลินดา โธมัน-กรีนฟิลด์ (Linda Thomas-Greenfield) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ กล่าวหลังกาปรระชุม ว่า เราอยู่บนพื้นที่ทำงานอย่างหนักด้านการทูต และเราเชื่อว่าเราจำเป็นต้องปล่อยให้การทูตนั้นเกิดขึ้น จริงอยู่มติเป็นสิ่งสำคัญ และสภานี้ต้องกล่าวออกมา แต่การกระทำที่เราทำจะต้องได้รับการแจ้งจากข้อเท็จจริงในพื้นที่ และสนับสนุนความพยายามทางการทูตโดยตรง ที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ สภาจำเป็นต้องได้รับสิทธินี้

“สหรัฐฯ รู้สึกผิดหวังที่ร่างมติไม่ได้กล่าวถึงสิทธิการป้องกันตนเองของอิสราเอล และกล่าวโทษกลุ่มฮามาสที่ทำให้เกิดวิกฤติด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา เรากำลังทำงานร่วมกับอิสราเอล เพื่อนบ้าน สหประชาชาติ และหุ้นส่วนอื่นๆ เพื่อแก้ไขวิกฤติด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา อาหาร ยา น้ำ และเชื้อเพลิงเริ่มไหลเข้าสู่ฉนวนกาซาโดยเร็วที่สุด การกระทำของฮามาสเองได้นำมาซึ่งวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่รุนแรง” ทูตสหรัฐฯ ประจำ UN กล่าว

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า ตามธรรมเนียมแล้ว สหรัฐฯ มักปกป้องพันธมิตรของตนอย่างอิสราเอลจากการกระทำใดๆ ของคณะมนตรีความมั่นคง ซึ่ง วาสซิลี เนเบนเซีย (Vassily Nebenzia) เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า เราได้เห็นอีกครั้งถึงความหน้าซื่อใจคดและสองมาตรฐานของเพื่อนร่วมงานชาวอเมริกัน ซึ่งเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566 ข้อเสนอที่ร่างโดยรัสเซีย เรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม ก็เพิ่งถูกที่ประชุม UNSC ตีตกไป

ทั้งนี้ รัสเซียได้ขอให้มีการเปิดประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่มีสมาชิก 193 ประเทศ ในวาระพิเศษกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับความขัดแย้ง และอาจตัดสินใจนำร่างมติไปลงคะแนนเสียงที่นั่น โดยไม่มีประเทศใดมีอำนาจพิเศษมายับยั้ง ซึ่งแม้มติของสมัชชาใหญ่จะไม่มีผลผูกพันแต่ก็มีน้ำหนักทางการเมือง ขณะที่ในวันที่ 18 ต.ค. 2566 อันโตนิโอ กูเตร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ เรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมโดยทันที เพื่อให้ปล่อยตัวตัวประกันและความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซา

ทอร์ เวนเนสแลนด์ (Tor Wennesland) ทูตสันติภาพตะวันออกกลางของสหประชาชาติ กล่าวว่า มีความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจริงและอันตรายอย่างยิ่งที่ความขัดแย้งอาจขยายวงออกไป ด้าน จางจุน (Zhang Jun) เอกอัครราชทูตจีนประจำสหประชาชาติ กล่าวหาสหรัฐฯ ว่าเป็นสมาชิกสภาชั้นนำที่เชื่อว่าข้อมติดังกล่าวสามารถนำมาใช้ได้ หลังจากที่สหรัฐฯ ไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านในระหว่างการเจรจา ทูตจีนยังบรรยายการโหวตว่า ไม่มีอะไรน่าเหลือเชื่อเลย

การทูตระหว่างประเทศมุ่งเน้นไปที่การพยายามเป็นตัวกลางในการหยุดชั่วคราวด้านมนุษยธรรมในความขัดแย้งใกล้จุดผ่านแดนราฟาห์ระหว่างอียิปต์และฉนวนกาซา เพื่อให้สามารถส่งความช่วยเหลือได้ โดยอียิปต์ยืนยันว่า ด่านราฟาห์ไม่ได้ถูกปิดอย่างเป็นทางการ แต่ไม่สามารถใช้การได้แล้วเนื่องจากมีความเสียหายในฝั่งฉนวนกาซาจากการโจมตีทางอากาศของกองทัพอิสราเอล

มาร์ติน กริฟฟิธส์ (Martin Griffiths) หัวหน้าหน่วยบรรเทาทุกข์ของสหประชาชาติ กล่าวกับ UNSC เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2566 ว่า เราต้องการกลไกเร่งด่วนที่ได้รับความเห็นชอบจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถจัดเตรียมความต้องการฉุกเฉินได้อย่างสม่ำเสมอทั่วฉนวนกาซา อนึ่ง ร่างข้อเสนอที่บราซิลยื่นนั้นยังเรียกร้องให้ยกเลิกคำสั่งอพยพพลเรือนและเจ้าหน้าที่สหประชาชาติในฉนวนกาซาโดยให้ย้ายไปทางใต้ของดินแดนปาเลสไตน์ แต่ไม่เอ่ยชื่อประเทศอิสราเอล ขณะเดียวกันร่างนี้มีการประณามการโจมตีของกลุ่มฮามาส

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อิสราเอลประกาศให้ประชาชนราว 1.1 ล้านคนในฉนวนกาซา หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด ย้ายไปทางใต้ ขณะที่กองทัพอิสราเอลเตรียมการโจมตีภาคพื้นดินเพื่อตอบโต้การโจมตีพลเรือนของกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นเหตุเการณ์เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ 75 ปีของอิสราเอล อีกทั้งปิดล้อมฉนวนกาซาและระดมโจมตีอย่างหนักเพื่อทำลายล้างกลุ่มฮามาส หลังจากกลุ่มติดอาวุธสังหารผู้คน 1,400 คนและจับตัวประกันในการโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 ขณะที่ทางการ ปาเลสไตน์ ระบุว่า มีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 3,000 คนถูกสังหาร

“บอกตามตรงว่าเราไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ย้ายจากเหนือลงใต้เพื่อหลีกหนีจากอันตราย ไม่ว่าพลเรือนจะย้ายหรืออยู่ต่อ และนั่นจะต้องเป็นการตัดสินใจของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะต้องได้รับการปกป้อง” กริฟฟิธส์ กล่าว

/////////////////