“ธปท.” จ่อหั่นจีดีพี-เงินเฟ้อปี 2566 หลังรายได้ภาคท่องเที่ยววืด ส่งออกยังโคม่า พร้อมส่งสัญญาณถอนคันเร่งนโยบายการเงิน ชี้ดอกเบี้ยต้องเข้าสู่จุดสมดุลระยะยาว หลังบริบทเศรษฐกิจเปลี่ยน ด้าน “ฟิชท์ เรตติ้ง” ห่วงจัดตั้งรัฐบาลผสมทำงบปี 2567 ซับซ้อน-ล่าช้า
ขณะที่ภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาส 2/2565 ขยายตัว 7.8% ถือว่าโตแรงมาก และครึ่งแรกของปี 2566 การบริโภคภาคเอกชนโตสูงสุดในรอบ 20 ปี ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมา โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ซึ่งมีส่วนสำคัญในการจ้างงาน คิดเป็น 1 ใน 5 ของการจ้างงานทั้งหมด และท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึง 12% ของจีดีพีสำหรับทิศทางนโยบายการเงินหลังจากนี้ จึงต้องปรับไปตามบริบทของเศรษฐกิจ เป็นแลนด์ดิ้ง ธปท. ต้องการให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับภาพระยะยาว และสอดคล้องกับความสมดุลของเศรษฐกิจในระยะยาว โดย 1. เงินเฟ้อเข้ากรอบเป้าหมายยั่งยืนที่ระดับ 1-3% 2. อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอยู่ในศักยภาพระยะยาว ที่ระดับ 3-4% และ 3. อย่าให้เกิดความไม่สมดุลด้านการเงิน
“การเข้าสู่สภาวะปกติ การเข้าสู่สมดุล หากเทียบเคียงให้เห็นภาพ คือ การถอนคันเร่ง เพราะเดิมเราเหยียบคันเร่งอย่างสุด ๆ โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่การเหยียบเบรก เพราะบริบทเศรษฐกิจของไทยไม่เหมือนกับต่างประเทศ โดยของไทย คือ อยากให้ดอกเบี้ยเข้าสู่ระยะยาว ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ก็อาจจะเข้าสู่จุดที่ใกล้แล้ว จวนแล้ว โดยอยากให้รอดูการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อีกที” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเจมส์ แมคคอร์แมค กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้ากลุ่มจัดอันดับเครดิตประเทศของฟิทช์ เรทติ้งส์ กล่าวในงานสัมมนา Global and Regional Economic&Bank Outlook ในหัวข้อ GLOBAL RISKS & OUTLOOK FOR MAJOR ECONOMIES ซึ่งจัดโดย บริษัท ฟิชท์ เรตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ว่า ฟิทช์เชื่อว่า แม้ว่าการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่เกิดจากการจับขั้วหลายพรรคการเมืองจะทำให้สามารถผลักดันนโยบายต่าง ๆ ได้ แต่ด้วยมุมมองความเห็นที่หลากหลายจากการเป็นรัฐบาลผสม จะทำให้กระบวนการพิจารณาอนุมัติงบประมาณสำหรับปี 2567 มีความซับซ้อนและอาจทำให้เกิดความล่าช้าได้
อีกทั้งการพิจารณางบประมาณนี้ยังถูกจำกัดจากนโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะปรับเพิ่มการใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคม ซึ่งน่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตได้ในระยะสั้น แต่อาจสร้างแรงกดดันส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงขึ้น หากไม่สามารถรักษาระดับการเติบโตของจีดีพีให้มีความต่อเนื่องได้
/////////////////////