"จากที่เมื่อก่อนเรามีรายได้อาทิตย์ละประมาณ 400 บาท แต่เดี๋ยวนี้ได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท หากอาทิตย์ไหนขายกล้วยและหวายด้วย ก็จะมีเงินเพิ่มมากอีก 700-800 บาท และอาทิตย์ไหนขายหมูและไก่ได้อีกก็ยิ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก เป็นอย่างนี้อยู่ตลอด" นายผัน อุ่นถิ่น หรือ พ่อผัน เกษตรกรอาวุโสในวัย 70 ปี แห่งบ้านบวกหญ้า ต.ขุนน่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ที่ประกอบอาชีพทำข้าวไร่ ปลูกข้าวโพดหวาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มาตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 15 ปี และไม่เคยเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่นเลย แต่ก็มีอยู่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณปี 2548 - 2549 ที่โครงการของหน่วยงานทางป่าไม้เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกกาแฟและแมคคาเดเมีย พ่อผันหันไปปลูกพืชที่ได้รับการส่งเสริม แต่หลังจากผลผลิตออกมา กลับไม่มีตลาดรับซื้อ สุดท้ายก็ต้องจบด้วยการฟันต้นทิ้ง พ่อผันก็ต้องกลับไปประกอบอาชีพทำข้าวไร่และปลูกข้าวโพดอย่างเคย โดยมี นางสาวสุนิสา อุ่นถิ่น หรือ โอ๋ ผู้เป็นลูกสาว คอยช่วยเหลือ เพราะปัจจุบันนี้พ่อผันอายุ 70 ปีแล้วไม่มีเรี่ยวแรงเหมือนแต่ก่อน
กระทั่งในปี 2552 โครงการปิดทองหลังพระฯ ได้เข้ามาจัดประชุมในหมู่บ้าน โดยเสนอให้มีการรังวัดที่ทำกิน เพื่อจะได้ทราบข้อมูลพื้นที่ที่ชัดเจนและวางแผนส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจและส่งเสริมอาชีพอื่น ๆ ได้อย่างตรงจุด พ่อผันและโอ๋ได้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้นด้วย แต่ในวันนั้นคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เห็นด้วยกับข้อเสนอของปิดทองฯ มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย เพราะชาวบ้านกลัวว่าจะมีการยึดที่ดินคืนไปเป็นของหลวง ดังนั้น เมื่อมติยังไม่เป็นเอกฉันท์ ปิดทองฯ จึงตัดสินใจยังไม่เริ่มโครงการฯ ที่นี่ และหันไปเริ่มดำเนินการในหมู่บ้านอื่น ๆ ที่มีความพร้อมก่อน โอ๋เล่าต่อไปว่าแม้โครงการฯ จะไม่ได้เกิดในหมู่บ้านของตน แต่จากการประชุมครั้งนั้น โอ๋ได้สมัครเป็นอาสาพัฒนาของโครงการฯ เพื่อทำงานส่งเสริมและติดตามข้อมูลในหมู่บ้านอื่น ๆ จึงทำให้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งจากการไปศึกษาดูงานและการได้คลุกคลีกับงานด้านการเพาะชำที่สำนักงานของปิดทองหลังพระฯ
หลังจากเป็นอาสาสมัครของโครงการอยู่ 2 ปี โอ๋และพ่อเห็นว่าการร่วมงานกับโครงการปิดทองหลังพระฯ ได้ประโยชน์มากมายหลายด้าน เลยติดต่อกับโครงการฯ เพื่อนำเอากล้วยและหวายมาปลูก เอาหมูพันธุ์เหมยซานมาทดลองเลี้ยงกันในหมู่เครือญาติก่อน จากนั้นประมาณ 1 ปี พอชาวบ้านเริ่มเห็นผลว่า ทั้งกล้วย หวาย และหมูเหมยซาน เริ่มไปได้ด้วยดี ความสนใจของชาวบ้านก็เริ่มขยับขยายขึ้น "ชาวบ้านเขาเห็นว่าครอบครัวของเราเก็บผลผลิตกล้วยได้ทุกอาทิตย์ มีรายได้เข้ามาไม่ขาด เขาจึงเริ่มสนิทใจและกระตือรือร้นอย่าเข้าร่วมโครงการฯ บ้าง แม้กระทั่งคนที่เคยต่อต้านก็หันมาเห็นดีเห็นงามด้วยหมด"
หลังจากนั้นในปี 2556 ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนก็เข้าร่วมโครงการฯ กันทั้งหมด มีทั้งการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ต้นประดู่ ต้นไผ่ มะม่วง กล้วย หวาย และการเลี้ยงสัตว์ สำหรับโอ๋และพ่อผัน นอกจากจะปลูกกล้วยและหวายแล้ว ตอนนั้นยังเข้าร่วมโครงการปลูกมะม่วงหิมพานต์ด้วย โดยปลูกทั้งหมด 3 แปลง รวมพื้นที่ทั้งหมดกว่า 40 ไร่ นอกจากนี้ ยังเลี้ยงหมูเหมยซานและไก่อีกกว่า 300 ตัว ตามที่โครงการฯ ส่งเสริม ผ่านการดูแลเอาใจใส่อย่างดี มีการทำคอกให้สะดวกและง่ายต่อการดูแลเรื่องโรคและการฉีดวัคซีน ดูแลเรื่องอาหารอย่างทั่วถึง หมูและไก่ก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว สามารถขายหรือทำเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์เอาไว้เพาะขายได้อีกทางหนึ่งด้วย โอ๋บอกว่าทุกอย่างที่ทำต้องใช้ความรู้นำทาง เมื่อเราทำได้แล้วรายได้ก็จะมา ชาวบ้านก็จะทำตามแม้จะใช้เวลาถึง 2-3 ปี แต่ผลที่ได้ก็คุ้มค่า โอ๋เรียนรู้ว่าการจะนำความคิดคนอื่นได้ เราต้องทำให้สำเร็จเป็นตัวอย่างก่อน ถึงจะโน้มน้าวใจคนอื่นให้ทำตามได้ ต้องทำให้เห็นด้วยผลงานและรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยความสำเร็จนอกจากความรู้แล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ต้องมีคือความขยันและเอาใจใส่
ตอนนี้สิ่งที่ชาวบ้านยังขาดและยังต้องพัฒนาไปอีกข้างหน้าคือ การรวมกลุ่มกันขาย รวมกลุ่มกันผลิตอาหารไก่ เราอยากให้เกิดการรวมกลุ่มขึ้น เพราะมันจะสามารถต่อรองราคาได้ อย่างเรื่องอาหารไก่ เราก็อยากรวมกลุ่มกันผลิต อยากจัดตารางมาร่วมกันบดอาหาร เพื่อจะได้ลดต้นทุน และที่สำคัญตลาดขายไก่ยังมีรองรับอีกมาก ทุกวันนี้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมาก และคาดว่าอีกไม่เกิน 3 ปี จะเห็นภาพหมู่บ้านพัฒนาดีขึ้นกว่าเดิมยิ่ง ๆ ขึ้นไปอย่างแน่นอน โอ๋กล่าวทิ้งท้าย
#ทุกวิกฤตผ่านได้เพราะคนไทยไม่ท้อไม่ถอย
#เชื่อมั่นเศรษฐกิจพอเพียง
#ศาสตร์ของพระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
Website: www.pidthong.org
Twitter: twitter.com/pidthong
Instagram: instagram.com/pidthonglangphra_
YouTube: https:youtube.com/@pidthong
Line: https:bit.ly/3sumjTn
Tiktok: https:bit.ly/3ZkPmXv