“เราต้องทำให้ดี ไม่ใช้ยา ถ้าเรารักษามาตรฐานไว้ ไม่ต้องห่วง เขารับซื้อผักของเราอยู่แล้ว” สมบูรณ์ คงเชื้อ หรือ พี่สาว เกษตรกรต้นแบบปิดทองหลังพระฯ แห่งบ้านโคกยามู ต.ไพรวัน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำการเกษตรที่เกิดขึ้นหลังจากที่สามีของเธอเกษียณจากงานราชการ และตัวพี่สาวเองก็ออกจากงานแม่บ้านที่เป็นงานประจำ คงเหลือไว้เพียงงานรับจ้างทั่วไป เช่น รับจ้างรีดผ้าและทำอาหาร พี่สาวและครอบครัวจึงพยายามหารายได้เสริม โดยเริ่มต้นจากการปลูกผัก เพราะในขณะนั้นมีหน่วยงานราชการเข้ามาส่งเสริมเรื่องการปลูกผักบนดินโดยปลูกบนพื้นที่ของหลวงที่นำมาจัดสรรให้ชาวบ้านไว้ทำกิน พี่สาวได้สิทธิ์การทำเกษตรบนพื้นที่จำนวนไร่ครึ่ง และช่วงนั้นมีเพื่อนบ้านเข้ามาร่วมกันปลูกผักบนพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 20 คน พี่สาวเริ่มต้นจากการปลูกถั่วฝักยาว พริก มะเขือ ฯลฯ เพื่อเก็บไว้กิน เหลือจึงขายตามตลาดนัดต่าง ๆ ในหมู่บ้าน และพี่สาวยังรับซื้อผักของเพื่อนสมาชิกไปขายด้วย ซึ่งปกติแล้วพี่สาวจะดูแลแปลงผักเป็นหลัก เข้ามาแปลงผักทุก ๆ วัน ส่วนลูก ๆ จะเข้ามาช่วยดูแลในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
กระทั่ง โครงการปิดทองหลังพระฯ เข้ามาในพื้นที่เมื่อปี 2560 ทางเจ้าหน้าที่ของโครงการฯ ได้ช่วยแนะนำความรู้ต่าง ๆ ทั้งเรื่องการปลูกพืชผัก การดูแล การปรับปรุงระบบน้ำให้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยหาช่องทางตลาดให้กับกลุ่มอีกด้วย พี่สาวบอกว่าก่อนหน้านี้ยังไม่มีการวางระบบน้ำ ทำให้น้ำไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร ส่วนการเลือกชนิดพืชที่ปลูก ยังเป็นผักชนิดเดิม แต่มีการเน้นให้ปลูกพืชผสมผสานหลากหลายชนิด ไม่ใช้สารเคมี บำรุงพืชผักด้วยปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำ
ในเรื่องการตลาดเดิมทียังต้องนำผักไปขายที่ตลาดตาบา ที่ตัว อ.ตากใบ ซึ่งไกลจากบ้านมาก “แต่ก่อนต้องขับมอเตอร์ไซค์ไป ระยะทางหลายกิโล ตอนนั้นยังไม่มีเหตุการณ์ไม่สงบอะไร ก็เดินทางกลางคืน สบายหน่อย ออกมาซื้อผัก ขายของ ช่วงตีหนึ่ง ตีสอง ช่วงนั้นขายของดี จนส่งลูกเรียนจบ” พี่สาวเล่า ตอนนี้มีตลาดนัดเปิดใหม่ใกล้ ๆ บ้าน ทำให้มีตลาดที่สามารถนำผักไปขายได้ตลอด เช่น ตลาดศาลาใหม่ ตลาดนัดกูบู วันพฤหัสบดีและวันอาทิตย์ พี่สาวขายที่ตลาดนัด ส่วนวันอังคารและวันเสาร์ ขายที่ตลาดศาลาใหม่
ปัจจุบัน มีสมาชิกกลุ่มผัก 30 คน ผักที่พี่สาวนำไปขายจะซื้อผักจากเพื่อนสมาชิกด้วยกันเท่านั้น เพราะทราบแหล่งที่มาและความปลอดภัย และโดยส่วนใหญ่พี่สาวก็ขายในราคาที่ถูกกว่าตามท้องตลาดหรือพ่อค้าแม่ค้าคนอื่น พี่สาว เล่าว่า ตามท้องตลาดผักบุ้งขายกิโลกรัมละ 25 บาท แต่ตนนั้นขายกิโลกรัมละ 20 บาท เพราะเห็นว่าตามร้านขายข้าวแกงเขาซื้อเยอะ ซื้อเกือบทุกอย่างที่ปลูก ซื้อเยอะก็มีลดราคาให้อีก ซึ่งนอกจากตลาดที่พี่สาวนำผักไปขายแล้ว ทางกลุ่มก็มีตลาดซุ้มข้างทางหลวง ด้านหน้าสำนักงานกรมพัฒนาที่ดินปากทางเข้าหมู่บ้าน ตลาดแห่งนี้ก็ขายดี โดย จะมีสมาชิกในกลุ่มผักทุกคนหมุนเวียนเปลี่ยนเวรกันไปขาย วันละ 4 คน ในช่วง เวลา 08:00- 14:00 ของทุกวัน รายได้คราว ๆ ต่อเดือนจากการปลูกผักในพื้นที่ 1 ไร่ประมาณ 4,000- 5,000 บาทต่อเดือน ถ้าหากคิดรวมกำไรจากการรับซื้อผักจากเพื่อนสมาชิกไปขาย จะมีรายได้เฉลี่ยราว 7,000- 8,000 บาทต่อเดือน พี่สาว เล่าต่อไปว่า เมล็ดพันธุ์ผักส่วนมากที่ปลูกแทบไม่ได้ซื้อ ได้จากเข้าร่วมอบรมจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากปิดทองฯ เป็นผู้ประสานให้ตั้งแต่ช่วงแรก ที่เข้ามาดำเนินโครงการ และตั้งแต่โครงการของปิดทองหลังพระฯ เข้ามาทำให้รู้จักผู้คนมากมาย มีหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาแนะนำสิ่งดี ๆ ปิดทองฯ พาไปดูงานนอกสถานที่ทำให้มีองค์ความรู้เพิ่มมากขึ้นกว่าแต่เดิม “เราต้องการอะไร เขาก็จะหามาให้ และยังทำให้มีตลาดที่แน่นอนและมั่นคงอีกด้วย" พี่สาวกล่าวทิ้งท้าย
#ทุกวิกฤติผ่านได้เพราะคนไทยไม่ท้อไม่ถอย
#เชื่อมั่นเศรษฐกิจพอเพียง
#ศาสตร์ของพระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
Website: www.pidthong.org
Twitter: twitter.com/pidthong
Instagram: instagram.com/pidthonglangphra_
YouTube: https:bit.ly/3qpif42
Line: https:bit.ly/3sumjTn
Tiktok: https:bit.ly/3ZkPmXv