“ผมไม่ชอบไปเที่ยว ผมชอบทำงาน นั่งดื่มกาแฟเสร็จผมต้องมาที่สวนแล้ว เห็นต้นอ้อย ผมสามารถตีได้เลย ว่าผมจะได้น้ำอ้อยกี่ขวด" อับดุลวาหะ มาเลาะ หรือ แบหะ เกษตรกรต้นแบบปิดทองหลังพระฯ แห่งบ้านจำปูน ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ยึดอาชีพทำสวนยางเป็นอาชีพหลัก ซึ่งเป็นอาชีพที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ เมื่อว่างเว้นจากการกรีดยางจะหารายได้เสริมโดยการปลูกอ้อย เป็นอ้อยที่ใช้สำหรับหนีบน้ำอ้อยขาย ในช่วงแรกของการปลูก แบหะประสบอุปสรรคหาแหล่งรับซื้อไม่ได้ จนต้องซื้อเครื่องหนีบน้ำอ้อย เพื่อจำหน่ายด้วยตนเอง แต่ก็ต้องพบกับปัญหาอีกครั้ง เพราะกลายเป็นว่าปริมาณอ้อยไม่พอในการทำน้ำขาย อ้อยแก่มีไม่เพียงพอ
กระทั่งปี 2561 ซารีปะลูกสาวคนโตของแบหะได้รับการชักชวนจากเพื่อนที่ทำงานเป็นอาสาพัฒนาชุมชนกับโครงการปิดทองหลังพระฯ ให้เข้าร่วมโครงการปลูกผัก โดยโครงการฯ ได้แบ่งซอยพื้นที่ว่างด้านหน้าอาคารเป็นแปลงสาธิต เพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านและเยาวชนที่สนใจได้ปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง ซารีปะเป็นตัวแทนของครอบครัวในการเข้าร่วมกิจกรรมนับแต่นั้นมา และมีโอกาสได้ลงพื้นที่ศึกษาดูงานเรื่องการปลูกผัก การทำนา การทำฟาร์ม และการทำฝายกั้นน้ำในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน เมื่อกลับมาจากการดูงาน มีการเรียกประชุมที่มัสยิด ซารีปะได้ชวนพ่อเข้าร่วมประชุมด้วย โดยในวันที่เข้าร่วมประชุม แบหะกับชาวบ้านหลายคนแสดงความสนใจที่จะได้รับการสนับสนุนการปลูกอ้อยจากโครงการปิดทองหลังพระฯ แบหะบอกกับปิดทองฯ ว่า ตนคิดจะขยายพื้นที่ปลูกและขอสนับสนุนพันธุ์อ้อย หากคนปลูกด้วยกันไม่มีที่ขาย แบหะก็พร้อมจะซื้อ เพื่อทำน้ำอ้อยขายในช่วงถือศีลอด หลังจากนั้นไม่นาน แบหะกับชาวบ้านคนอื่น ๆ ก็ได้รับการตอบสนองจากโครงการฯ โดยแบหะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยเป็น 2 แปลง และได้รับการสนับสนุนเครื่องหนีบน้ำอ้อยอีกเครื่องหนึ่ง เพื่อให้การผลิตน้ำอ้อยทันต่อการขาย แบหะบอกว่า ตั้งแต่ทำการเกษตรมา เขาชอบเรื่องการปลูกอ้อยกว่าการปลูกพืชชนิดอื่น เพราะปลูกง่าย ดูแลง่าย รายได้ก็ดี
ซึ่งการปลูกอ้อยรอบหนึ่ง ๆ ใช้เวลาประมาณ 9 เดือน จึงจะสามารถเก็บผลผลิตได้ แบหะปลูกอ้อยในพื้นที่ 1 ไร่ ได้เงินจากการลงทุนลงแรงรอบละประมาณ 20,000- 30,000 บาท รายได้ดังกล่าว คิดเฉลี่ยเฉพาะอ้อยที่ปลูกเองและเอาไปหนีบน้ำอ้อยจำหน่ายเท่านั้น หากนับอ้อยที่รับซื้อจากคนอื่นมาหนีบขายด้วย เฉพาะช่วงเดือนถือศีลอดเดือนเดียวก็ทำให้ปีนี้เขามีแผนจะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยเพิ่มอีก “ช่วงตลอดเดือนถือศีลอด เราขายตกอยู่ที่ 2,000 - 4,000 บาทต่อวัน ต้องซื้ออ้อยที่อื่นมาเสริม เพราะอ้อยที่ผมปลูกนั้นไม่เพียงพอ” แบหะเล่า แบหะ เล่าต่อไปว่า เขาได้รับการแนะนำจากปิดทองฯ หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องเทคนิคการขาย ไม่ว่าจะเป็นการให้ลูกค้าทดลองชิมน้ำอ้อยก่อนซื้อ หรือการขายแบบ 10 ขวด แถม 2 ขวด ซึ่งเทคนิคดังกล่าวก็ได้ผลตอบรับที่ดี เพราะเมื่อนำมาใช้ก็ทำให้น้ำอ้อยของเขาได้รับการพูดถึงกันปากต่อปาก ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ปัจจุบัน แบหะยังคงยืดการปลูกอ้อยและขายน้ำอ้อยเป็นอาชีพหลัก เขามีความสุขที่ควบคุมคุณภาพด้วยมือของเขาเอง ตั้งแต่การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว การจัดการใบอ้อยด้วยการไถกลบเพื่อรักษาคุณภาพดิน และการแปรรูปจนถึงผู้บริโภค แบหะ กล่าวว่า การที่ได้ปลูกอ้อยเองและสามารถทำน้ำอ้อยขายเองได้อย่างทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่มาไกลเกินกว่าที่ตนเองคาดหวังไว้แล้ว หลังจากนี้นอกจากการได้ขยายพื้นที่ปลูกอ้อยเพิ่มอีกไร่และมีลูกค้าสม่ำเสมออยู่แบบนี้ ก็พอใจและมีความสุขแล้ว อย่างอื่นไม่ได้คาดหวังอะไรอีก
#ทุกวิกฤติผ่านได้เพราะคนไทยไม่ท้อไม่ถอย
#เชื่อมั่นเศรษฐกิจพอเพียง
#ศาสตร์ของพระราชาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
Website: www.pidthong.org
Twitter: twitter.com/pidthong
Instagram: instagram.com/pidthonglangphra_
YouTube: https:bit.ly/3qpif42
Line: https:bit.ly/3sumjTn
Tiktok: https:bit.ly/3ZkPmXv