ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กล่าวแถลงนโยบายประจำปี โดยให้คำมั่นว่า รัสเซียจะทำสงครามในยูเครน ซึ่งจะครบ 1 ปี ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นี้ ต่อไป พร้อมกล่าวหาว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่นำโดยสหรัฐฯ ได้ทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน ทวีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่การเผชิญหน้าระดับโลก และมีความเชื่อที่ผิดว่า ชาติพันธมิตรนาโต จะสามารถเอาชนะรัสเซีย   ในโอกาสนี้ ประธานาธิบดีปูติน ยังประกาศว่า รัสเซียจะระงับการเข้าร่วมสนธิสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์เชิงยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ (New START) กับสหรัฐฯ และขู่จะกลับมาทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง หากจำเป็น ทั้งนี้ สนธิสัญญาดังกล่าว เป็นการลงนามระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี ดิมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย ในปี 2553 เพื่อจำกัดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ   รวมถึงเน้นย้ำว่า แม้จะเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก แต่เศรษฐกิจของรัสเซียยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยสกุลเงินรูเบิลของรัสเซียแข็งค่าขึ้น และอัตราว่างงานต่ำสุดเป็นประวัติการณ์   หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ก็กล่าวสุนทรพจน์ตอบโต้ในขณะที่อยู่ในโปแลนด์ ภายหลังเสร็จสิ้นการเยือนยูเครนอย่างกระทันหัน โดยระบุว่า สหรัฐฯ จะยังคงสนับสนุนยูเครนต่อไป รวมทั้งให้คำมั่นจะเสริมกองกำลัง NATO ทางด้านที่ติดกับรัสเซียให้แข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไบเดน ไม่ได้กล่าวถึงการถอนตัวจากสัญญาควบคุมนิวเคลียร์ของรัสเซีย   ทั้งนี้ สหรัฐฯ และรัสเซียมีหัวรบนิวเคลียร์ราว 90% ของโลก ภายใต้สนธิสัญญา New START จำกัดแต่ละด้านไว้ที่ 1,550 หัวรบสำหรับเครื่องยิงขีปนาวุธและเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ และยังให้ประเทศอื่น ๆ สามารถตรวจสอบคลังแสงนิวเคลียร์ของอีกฝ่ายได้ อย่างไรก็ตามความตึงเครียดจากสงครามในยูเครนทำให้ไม่มีการตรวจสอบมาระยะหนึ่งแล้ว   ที่มา Reuters, CNN